จำนวนถาม : จำนวนตอบ : รวมทั้งหมด : 0 มีข้อความ |
|
ข้อความเลขที่ : 1
เมื่อ ชาติก่อนเขาเกิดเป็นกวางตัวเมีย พออายุได้ ๑๕ ปีก็ถูกนายพรานยิงตายที่ภูหินปูนซึ่งอยู่เลยถ้ำอ่างน้ำจากขึ้นไป (สถานที่เหล่านี้มีอยู่จริง แต่เด็กไม่เคยรู้)
หลังจากตายแล้ววิญญาณได้ล่องลอยไปหา ผีเจ้าศรีสงคราม เจ้าศรีสงครามสั่งให้ไปเกิดเป็นงูตัวเมีย ! ตอน ไปเกิดเป็นงูจำได้ว่าเข้าไปทางปากแม่งู เมื่อเกิดแล้วก็อยู่ในถ้ำอ่างน้ำจางพร้อมกับงูเหลือมใหญ่หลายตัว นอกจากจะมีงูเหลือมอยู่แล้ว ยังมีเสืออยู่ร่วมถ้ำเดียวกัน แต่ไม่ทำอะไรกัน? ต่างฝ่ายต่างอยู่อย่างสงบ งูเหลือมใหญ่ทั้งหมดทำหน้าที่เฝ้าทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า โดยเฉพาะพระพุทธรูปหลายองค์
ครั้น เมื่อโตเป็นงูใหญ่ เกิดรักใคร่กับงูหนุ่มตัวหนึ่งจนกระทั่งตั้งท้อง เวลาออกไปหากินก็จะแยกกันไปโดยไม่เลือกว่ากลางวันหรือกลางคืน ที่หากินตามปกติของตน คือ บริเวณเวรห้วยอ่างน้ำจางพร้อมกับงูเหลือมใหญ่หลายตัว นอกจากจะมีงูเหลือมอยู่แล้ว ยังมีเสือร่วมอยู่ถ้ำเดียวกัน แต่ไม่ทำอะไรกัน ต่างฝ่ายต่างอยู่อย่างสงบ งูเหลือมใหญ่ทั้งหมดทำหน้าที่เฝ้าสมบัติอันล้ำค่า โดยเฉพาะพระพุทธรูปหลายองค์
ครั้น เมื่อโตเป็นงูใหญ่ เกิดรักใคร่กับงูหนุ่มตัวหนึ่งจนกระทั่งตั้งท้อง เวลาออกไปหากินก็จะแยกกันไปโดยไม่เลือกว่ากลางวันหรือกลางคืน ที่หากินตามปกติของคนคือ บริเวณห้วยอ่างน้ำจาง ซึ่งเวลานั้นน้ำในห้วยมีมาก และตรงกับปลายฤดูฝน มีธารน้ำไหลหลายสายไหลซอกซอนลงมาจากยอดเขา ตนจึงไปนอนพาดขวางทางน้ำไหลเหล่านั้นในช่วงที่ค่อนข้างแคบ เพื่อหลอกสัตว์เล็กๆ พวกกระรอกกระแต สัตว์เหล่านั้นคิดว่าเป็นท่อนไม้หรือคันดินจึงไต่ข้ามเพื่อจะไปอีกฝั่งหนึ่ง ตนก็จะจับกินเป็นอาหารเสีย
เด็ก ชายบัวลอย เล่าเรื่องในอดีตชาติของตนให้พ่อฟังอย่างตะกุกตะกักตามภาษาของเด็ก อาศัยว่านายตาคอยซักคอยถาม จึงพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ค่อนข้างชัดเจน ทุกเหตุการณ์สถานที่ของพยานหลักฐาน
บัวลอยเล่าเรื่องต่อไปว่า วัน ที่พบกับเฒ่าเหี่ยวนั้นตนออกไปหากินที่อ่างน้ำจางเช่นเดิม โดยนอนขดตัวรอคอยให้สัตว์มากินน้ำ ขณะที่นอนเงียบๆ อยู่นั้น หมาพรานสองตัวก็เข้ามาถึงตัวทันที และเห่าเสียงขรมทำท่าจะกัด ตนจึงเตรียมสู้ ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังโมโห คิดจะจับหมาพรานสองตัวนั้นมากินเสียด้วยซ้ำ
ขณะ งูเหลือมหรือเด็กชายบัวลอย เตรียมสู้กับสุนัข ๒ ตัว คือ อีแตน กับ อีแดง สุนัขไทยที่ถูกฝึกให้มาไล่ฆ่าสัตว์ขนาดเล็กของพรานเหี่ยว พรานเหี่ยวก็เดินลุยน้ำมายังงู ในมือถือพร้ามาด้วย พรานเหี่ยวต้องการฆ่างูเหลือมเพื่อเอาไปกิน ตัวของงูเองก็เตรียมต่อสู้เต็มที่ด้วยสัญชาตญาณ
ด.ช.บัวลอยเล่าว่า ตน กัดพรานเหี่ยวเข้าที่บ่าส่วนพรานเหี่ยวใช้พร้าฟัน ทั้งสองฝ่ายสู้กันนานตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยงก็ยังไม่มีใครแพ้ชนะ พรานเหี่ยวยอมเป็นฝ่ายเลิกราเดินกลับไปก่อน ส่วนตนก็กลับไปที่ถ้ำอ่างน้ำจางและดื่มน้ำที่ปากถ้ำ แล้วนอนพักด้วยความอ่อนเพลีย
แต่พรานเหี่ยวไปแล้วก็กลับมาอีก ! คราว นี้พาเพื่อนมาด้วย ๒ คน คือ นายโบ ดอกบัว กับ นายสา พิมพ์ภาพ พอมาถึงบริเวณที่สู้กับงู แต่กลับไม่พบงู พอดีได้ยินเสียงสุนัขเห่าอยู่ที่หน้าถ้ำอ่างน้ำจาง ทั้งสามคนก็รีบตามไป จนกระทั่งพบงูเหลือมนอนขดตัวอยู่
เด็กชายบัวลอยเล่าว่า ขณะที่เป็นงูอยู่นั้น ตนยังคิดเสียใจที่ไม่ควรมาอยู่นอกถ้ำ หากเข้าไปอยู่เสียในถ้ำก็คงจะปลอดภัย
ทว่าตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว นายโบใช้เชือกทำบ่วงนาคพยายามจะรัดคอ ตอนแรกตนหลบทันแต่พอคล้องครั้งที่สองตนหลบไม่ทัน เลยถูกรัดคอจนแน่นรู้สึกภายในจุกเสียดมาก แล้วความรู้สึกก็ดับวูบไปในทันที !
หลัง จากที่ตายแล้ว วิญญาณ (เป็นอทิสมานกายยังอยู่ในรูปลักษณ์ของงู) ได้แยกออกจากร่าง เฝ้ามองดูพรานเหี่ยวเดินตามหลังคอยระวัง เพราะกลัวงูเหลือมตัวผู้จะตามมาแก้แค้น
ขณะ ที่ติดตามคณะล่างู ซึ่งแสดงท่าทางดีใจที่ล่างูใหญ่มาได้ ตนเอง (คือเด็กชายบัวลอยในปัจจุบันชาติ) มีความรู้สึกสงสารร่างไร้วิญญาณของตนมาก เนื่องจากเส้นทางที่ผ่านมาเป็นทางขรุขระ มีตอไม้และหนามตลอดทาง ทำให้หนังฉีกขาดหลุดลุ่ย กระทั่งมาถึงเถียงนาของพรานเหี่ยว ซึ่งในที่นั้นมีคนอยู่หลายคน
จาก นั้นพวกเขาก็ผ่าท้องงู เอาไข่ออกมาพร้อมกับเครื่องใน แล้วถลกหนังออก ก่อนจะหั่นลำตัวเป็นท่อนๆ เอาลงไปต้มในหม้อดินขนาดใหญ่เป็นบางส่วน พอเนื้อสุก ก็ตักแบ่งกินกันอย่างมัวเมาหลงใหลในรสชาด
ระหว่าง ที่กินเนื้องูต้มอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น มีชายคนหนึ่งท่าทางเรียบร้อยเดินเข้ามา และร่วมกินงูต้มกับเขาด้วย พอชายคนนี้กินแล้วได้ถือเนื้องูท่อนขนาดศอกเอากลับไปด้วย ๒ ท่อน ชายคนนี้คือ นายตา แสงวงศ์ ผู้เป็นพ่อของเด็กชายบัวลอยนั่นเอง เด็กชายบัวลอย ขณะเป็นวิญญาณงู พอเห็นนายตาก็เกิดความรู้สึกถูกชะตาชอบขึ้นมาอย่างทันที
เมื่อ นายตาเดินกลับบ้าน ตนจึงขึ้นไปขดอยู่บนบ่าตามนายตาไปด้วย เมื่อถึงบ้านที่อยู่ของนายตา ตนก็ลงจากบ่าไปขดอยู่ใต้ต้นมะพร้าว เพราะจะตามเข้าไปในบ้านไม่ได้ เนื่องจากมีชายร่างใหญ่ท่าทางดุร้ายไม่ให้เข้าไปใกล้ตัวเรือนนายตา (น่าจะเป็นพระภูมิเจ้าที่หรือผีเรือน)
เวลา ผ่านไปไม่นานนัก ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงจากเรือน ตนก็รู้สึกเฉยๆ (น้องสาวของแม่หรือน้าของบัวลอยในชาติปัจจุบัน) กระทั่งมีหญิงอีกคนหนึ่งเดินตามมา พอเห็นผู้หญิงคนนี้ก็รู้สึกรักและชอบทันที อยากอยู่ใกล้ตลอดเวลา พอหญิงคนดังกล่าวอ้าปากจะดื่มน้ำ ตนจึงพุ่งเข้าทางปาก แล้วความคิดก็ดับวูบไป ผู้หญิงคนนี้คือ นางหนูพุก แสงวงศ์ แม่ของเขาเอง
สำหรับ เรื่องบัวลอย เด็กชายที่เป็นงูเหลือมในชาติก่อน เริ่มต้นจากการพูดเล่าต่อๆ กันมา กระทั่งเป็นข่าวกระจายแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง พระมหาถวัลย์ อาจารสุโภ วัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ได้ไปสวดมนต์ฉันเช้าที่บ้านมหาสุวัฒน์ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑
บังเอิญ นั่งใกล้กับท่าน พระครูเมธาวัตร วัดไชยมงคล พระครูเมธาวัตรไปได้เรื่องงูเหลือมมาเกิดเป็นลูกคน และนำออกอากาศ มีคนสนใจมาก พระมหาถวัลย์ ก็เกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง ตั้งใจจะไปดูด้วยตัวของท่านเอง
วัน ที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ เวลา ๐๗.๐๐ น. กลุ่มคณะของพระมหาถวัลย์ ได้ออกเดินทางจากวัดทุ่งศรีเมือง ไปยังอำเภอเลิงนกทา ไปถึงที่ว่าการอำเภอเลิงนกทา เวลา ๑๑.๐๐ น. คุณวรวิทย์ ชนกุล ปลัดอำเภอได้วิทยุล่วงหน้าไปถึงกำนันผู้ใหญ่บ้านห้องแซง ให้แจ้งแก่บิดามารดาของเด็กชายบัวลอยว่า ให้ไปรออยู่ที่วัดโพธาราม ทางคณะของท่านจะพักฉันเพลที่วัดเขมไชยาราม เสร็จแล้วออกเดินทางไปที่บ้านห้องแซง เวลาบ่ายโมงกว่า ขณะนั้นเด็กชายบัวลอยพร้อมกับพ่อแม่ได้ไปคอยอยู่ที่วัดโพธารามแล้ว
เวลา นั้นเจ้าอาวาสไม่อยู่ มีบุคคลร่วมอยู่ในการพบปะวันนั้น นอกจากพระมหาถวัลย์และเด็กชายบัวลอย แสงวงศ์แล้ว ยังมีบุคคลอื่นๆ ดังมีรายนามต่อไปนี้ คือ
๑. พระเทพมงคลเมธี เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี
๒. เจ้าคณะตำบลสวาท บ้านคีมชาด
๓. นายวรวิทย์ ชนกุล ปลัดอำเภอ
๔. นายสวัสดิ์ น้อยอินทร์ พัฒนากรอำเภอ
๕. นายปุ่น ห้องแซง ผู้ทำหน้าที่กำนัน
๖. นายบัวแพง เมืองนิล ผู้ใหญ่บ้าน
๗. พระภิกษุและสามเณรวัดโพธาราม
๘. นายตา แสงวงศ์ พ่อของบัวลอย
๙. นางหนูพุก แสงวงศ์ แม่ของบัวลอย
๑๐. นายสมนึก สุธาธรรม อาจารย์ในวิทยาลัยครูอุบลราชธานี เป็นผู้ดำเนินการถ่ายภาพ และบันทึกหลักฐานเรื่องราวทุกอย่าง ของ ด.ช. บัวลอยโดยละเอียด
พระมหาถวัลย์ อาจารสุโภ เปรียญ ๙ ประโยค และจบปรัชญาปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยนาลันทาแห่งประเทศอินเดีย
หลัง จากได้กลับมาถึงวัดทุ่งศรีเมืองแล้วได้เขียนหนังสือชื่อเรื่อง งูเหลือมกลับชาติมาเกิดเป็นคน พิมพ์เผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๑
พระมหาถวัลย์เล่าถึง เรื่องการพูดคุยกับเด็กชายบัวลอยครั้งแรกในหนังสือเล่มนั้น ดังข้อความต่อไปนี้
หนูชื่ออะไร ? ผู้สัมภาษณ์เริ่มเรื่อง
บัวลอยครับ อดีตงูเหลือมกลับชาติมาเกิดตอบ พร้อมกับหายใจเสียงดังฟืดฟาด สงสัยคงจะเหนื่อยใจ
ทำใจให้ดีๆนะ สบายๆ ตั้งใจตอบคำถามนะ ผู้สัมภาษณ์กำชับ
บัว ลอยยิ้มแห้งๆ หลบสายตาลงต่ำ และไม่ลืมชำเลืองดูถ้วยเป็บซี่เย็นเจี๊ยบที่วางอยู่ข้างๆ แต่ถึงใครจะรบเร้าเท่าไหร่ เขาก็ไม่ยอมแตะต้อง ตอนนี้บัวลอยหายใจหอบเฮือกใหญ่อยู่ เนื่องจากเพิ่งเดินทางมาจากบ้าน ทั้งตื่นเต้นคนแปลกหน้าล้อมวงอยู่สลอน เหล่าไทยมุงพากันซุบซิบมิได้ศัพท์สำเนียงเต็มไปหมด
อายุเท่าไร่? ผู้สัมภาษณ์เสียงดีซักถามต่อ
ฉิบฉามปีครับ บัวลอยตอบด้วยสำเนียง ส เป็น ฉ อย่างฉาดฉานและรวดเร็วแบบภาษาเด็กๆ
ตาม หลักฐานทางโรงเรียนเลิงนกทา ซึ่งครูใหญ่ค้นให้ นั่นแสดงว่าบัวลอยเกิดเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ตอนที่สอบถามเรื่องราวครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคมนั้น บัวลอยกำลังสอบไล่ช่วงปลายปีพอดี
ทำไมถึงลายอย่างนี้? ผู้สัมภาษณ์ดึงเข้าเรื่อง
เป็นงูครับ บัวลอยตอบแบบซื่อๆ สงบเสงี่ยม
งูอะไร?
งูเหลือมครับ
ขอจับเกล็ดที่หน่อยได้ไหม?
ได้ครับ
เจ็บไหม?
ไม่เจ็บครับ
การทดสอบเพื่อพิสูจน์ว่า อดีตชาติของเด็กชายบัวลอยเป็นงูเหลือมจริงหรือไม่?
มิ ใช่ทำเพียงแค่ครั้งเดียว หากมีการสัมภาษณ์สอบถามหลายครั้งหลายหน และเด็กก็ให้คำตอบตรงกันทุกครั้ง ซึ่งถ้าหากได้รับการเสี้ยมสอนให้โกหกหรือแต่งเรื่องมดเท็จขึ้นมา คำตอบก็จะผิดเพี้ยนหลงลืมไปไม่มากก็น้อย
วัน ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑ คณะทดสอบพิสูจน์เด็กชายบัวลอย ได้เดินทางไปหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง ผู้ร่วมคณะมี พระมหามังกร ธัมมวาที, พระมหาถวัลย์ อาจารสุโภ วัดทุ่งศรีเมือง, ครูเฉลิมศักดิ์ แสงสิงแก้ว ครูโรงเรียนศรีทองวิทยา พร้อมด้วยผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดอุบลราชธานี ได้เดินทางออกจากจังหวัดอุบลราชธานีไปตามถนนสายอุบล-นครพนม มุ่งหน้าไปยังอำเภอเลิงนกทา
เมื่อ ถึงตัวอำเภอเลิงนกทาแล้ว ต้องเดินทางออกจากอำเภอไปตามถนนลูกรังอีก ๑๘ กิโลเมตร จึงได้ไปถึงหมู่บ้านพัฒนาการตัวอย่าง บ้านห้วยแซง ตำบลห้วยแซง จังหวัดอุบลราชธานี เวลา ประมาณ ๑๑.๐๐ น.
คณะ พิสูจน์ได้สอบถาม นายตา แสงวงศ์ ผู้เป็นพ่อของเด็กชายบัวลอย ถึงเหตุการณ์ก่อนที่เด็กชายบัวลอยจะมาเกิด นายตาได้ให้ปากคำแก่พระมหาถวัลย์ และพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัด ซึ่งได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานดังนี้
ผม ชื่อตา มีลูกทั้งชายและหญิงรวม ๙ คน บัวลอยเป็นคนที่ ๘ ลูกทั้งหมดเกิดจากผมและนางหนูพุกทั้งหมด วันเกิดเหตุนั้น ผมตั้งใจจะไปซื้อกระบือ และเมื่อเดินทางผ่านไปทางเถียงนาของตาเหี่ยว เห็นคนมุงดูงูใหญ่กันแน่นบริเวณจึงแวะเข้าไปดู ครั้นเข้าไปตาเหี่ยวได้ชวนให้กินต้มงูด้วยกันก่อน โดยได้กินทั้งเนื้อ ทั้งไข่งูด้วย กินแล้วก็นั่งคุยกันถึงเรื่องราวที่เฒ่าเหี่ยวไปฆ่างูได้ ตลอดถึงความอร่อยที่ได้กินต้มงูคราวนั้น จนกระทั่งตะวันบ่ายจึงเลิกล้มความตั้งใจที่จะไปซื้อควายกระบือแล้วเดินกลับ บ้านคนเดียว และไม่รู้สึกว่ามีใครติดตามมาด้วยได้แต่นึกดีใจ ที่ได้กินต้มงูอย่างเอร็ดอร่อยอิ่มหนำสำราญเท่านั้น นอกจากนี้ยังเอาเนื้องูติดมา ๒ ท่อน แต่ละท่อนยาวประมาณ ๑ ศอก ที่เห็นนั้นเป็นงูขนาดใหญ่มาก ตัวโต ขนาดสัก ๓ กำ ยาวประมาณ ๑๓ ศอก เห็นจะได้
เมื่อ นายตา แสงวงศ์ ผู้เป็นพ่อของเด็กชายบัวลอยได้เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์มาเกิดของงูเหลือม และเป็นลูกของตนไปแล้ว นางหนูพุกผู้เป็นแม่ก็เป็นฝ่ายเล่าบ้างว่า
คืน วันนั้น กินข้าวแลง (ข้าวเย็น) แล้วก็เข้านอนแต่หัวค่ำ เมื่อเลยค่อนคืนไปแล้ว จึงฝันว่ามีงูตัวใหญ่ตัวหนึ่งมาขออยู่ด้วย งูนั้นมิได้ทำร้ายอะไรแก่ข้าน้อยเลย นับแต่นั้นมาก็ฝันในทำนองเดียวกันเรื่อยมา บางคราวก็ฝันว่าได้อุ้มงูใหญ่ตัวนั้น บางครั้งฝันว่างูใหญ่มาขอดูดนม การณ์เป็นดังนี้เสมอมาจนกระทั่งครบกำหนดคลอด ครั้นคลอดออกมา เห็นลูกชายมีลายเป็นงูเต็มตัวเหมือนกับที่ปรากฏในความฝัน ก็ให้สลดสังเวชใจแท้ ๒-๓ วันแรกไม่กล้าแตะต้อง! ด้วย เกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนพร้อมกับนึกภาพงูใหญ่ที่ปรากฏในฝัน ให้หวั่นวิตกอย่างไร? ก็เป็นลูกของตน ภาพงูใหญ่ในฝันนั้นลืมไม่ลงจนทุกวันนี้
ข้อมูลที่นางหนูพุกเล่า คล้องจองกับนายตาผู้เป็นสามีเล่า รวมทั้งตรงกันกับที่ ดช. บัวลอยเล่ามาทั้งหมด
เหลือ อยู่แต่นายพรานเหี่ยวผู้เดียว ที่ยังไม่ได้พูดเกี่ยวกับงูเหลือมมาเกิดเป็นคนในครั้งนี้ ดังนั้น คณะของพระมหาถวัลย์จึงเตรียมเดินทางไปพิสูจน์ความจริงที่บ้านพรานเหี่ยวต่อ ไป โดยมี ด.ช. บัวลอย ร่วมเดินทางไปด้วย
พรานเหี่ยว หรือ นายเหี่ยว กุมารสิทธิ์ เป็นคนบ้านสีแก้ว อยู่ห่างจากบ้านหนองแซงบ้านเกิดของงบัวลอย ประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ เส้น การไปบ้านพรานเหี่ยวไม่ง่ายเลย เพราะออกจากตัวจังหวัดอุบลฯ ไปตามถนนสายอุบล-นครพนม ไปถึงอำเภอเลิงนกทาแล้ว แยกเข้าทางแยกไปยังบ้านสาวงามอีก ๑๓-๑๔ กิโลเมตร เส้นทางไปบ้านสาวงามนั้นทุรกันดารเป็นอย่างยิ่ง นอกจากผิวทางจะเป็นหลุมเป็นบ่อ บางช่วงยังเป็นแอ่งโคลนขวางเกือบเต็มถนน
คณะ พิสูจน์หลักฐานของพระมหาถวัลย์ ลุยรถไปถึงบ้านสาวงามแล้ว ก็ต้องเดินทางต่อไปยังบ้านส้มฝ่ออีก ๗-๘ กิโลเมตร คราวนี้เส้นทางผ่านเข้าไปกลางป่าทึบอันเงียบสงัดมาก และทางรถก็สิ้นสุด จำต้องเดินเท้าต่อเข้าไปอีกหลายกิโลเมตร กว่าจะถึงบ้านของนายพรานเหี่ยว
ระหว่าง ที่เดินเท้าไปยังบ้านพรานเหี่ยว พระมหาถวัลย์เดินเร็วมาก ได้เดินนำหน้าทิ้งคณะที่ตามหลังไกลลิบ คณะที่ตามหลังเลยหลงป่า แต่เด็กชายบัวลอยอาสานำทางไปเอง โดยบอกว่า
ผมจำทางได้ เพราะเมื่อสมัยเป็นงูเหลือมเคยเลื้อยมาที่นี่ ไปอีกหน่อยก็จะถึงบ้านพรานเหี่ยว
กระทั่ง เวลาประมาณ ๑๕.๓๐ น. คณะของพระมหาถวัลย์ก็ถึงเถียงนาของพรานเหี่ยว เป็นเรือนไม้หลังเล็ก ปลูกอยู่บนเนินด้านหน้าเป็นทางลาดลงไป และเป็นที่นาของนายพรานเหี่ยว ผู้ซึ่งเคยสังหารงูเหลือม
นาย เหี่ยวเล่าให้พระมหาถวัลย์ฟังว่า ข่าวเด็กระลึกชาติ เมื่อชาติก่อนเป็นงูเหลือมแล้วมาเกิดเป็นคนตนเองก็เคยได้ยินข่าวมาเหมือนกัน แต่ไม่ได้สนใจ กระทั่งไปเที่ยวงานบุญที่วัดโพธาราม บ้านหนองแซง มีเด็กชายตัวเล็กๆมาดึงชายผ้าแล้วต่อว่า ว่าเป็นคนใจร้าย ตนเองก็แปลกใจ! แต่ไม่ได้ติดใจอะไร?
ต่อ มาบวชเป็นพระภิกษุ ได้ยินข่าวเด็กชายบัวลอยซึ่งบอกว่าอดีตชาติของตนนั้นเป็นงูเหลือมกล่าว เหตุการณ์พาดพิงถึงตน จึงเดินทางไปพบเด็กชายบัวลอยที่วัดโพธาราม และเอาด้ายผูกข้อมือขออโหสิกรรมต่อกันเสีย อย่าได้มีอาฆาตพยาบาทสืบต่อไปเลย เด็กชายบัวลอยก็รับคำ และไม่คิดโกรธแค้นพรานเหี่ยวอีกต่อไป
เพื่อ พิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ประจักษ์ คณะพระมหาถวัลย์ได้ให้พรานเหี่ยวและเด็กชายบัวลอยพาไปที่ถ้ำอ่างน้ำจาง ระหว่างทางนักข่าวได้ซักถามเด็กชายบัวลอยอีกว่า
ถ้ำที่เคยอาศัยเมื่อตอนเป็นงูเหลือมอยู่ที่ไหน?
เด็กชายบัวลอยตอบว่า อยู่ที่ถ้ำน้ำจาง
ผู้สื่อข่าวซักต่อ ใหญ่แค่ไหน? และข้างในล่ะ เป็นอย่างไร?
ใหญ่มาก
ใหญ่น่ะใหญ่แค่ไหน? ผู้สื่อข่าวซักอีก
เด็กชายบัวลอยนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า
ใหญ่ยังกะสนาม
เข้าไปลึกไหม? เด็กชายบัวลอยถูกซักต่อ
ลึกมาก
ลึกสักเท่าไหร่?
หลายเส้น
ในถ้ำมีกี่ชั้น?
มี ๒ ชั้น
ข้างในถ้ำมีน้ำบ้างไหม?
ไม่มี! ถ้ามีก็น้อยมาก แค่บางแห่ง
ข้างในมีอะไรอยู่?
มีงู
อย่างอื่นล่ะ! มีอะไรอีก?
มีพระของพ่อเฒ่าศรีสงคราม
มีมากเท่าใด?
มีหลาย
นอกจากนี้ บัวลอยยังถูกซักถามความเป็นอยู่ในถ้ำตอนเป็นงูเหลือมว่า มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างในถ้ำ?
ตอนนั้นนอนอยู่ส่วนล่างหรือบนของถ้ำ?
นอนอยู่ส่วนล่าง
นอนกับใคร?
นอนกับงูตัวผัว
อยู่ด้วยกันสักกี่ปี?
สัก ๔-๕ ปี
กินนอนด้วยกันอย่างไร?
เกี้ยว (รัด) กัน
คณะ ของพระมหาถวัลย์มาพิสูจน์ ถึงถ้ำน้ำจางพร้อมด้วยนายพรานเหี่ยวและเด็กชายบัวลอย ซึ่งปากถ้ำเป็นป่ารกชัฏ ปากถ้ำสูงประมาณเมตรครึ่ง กว้างประมาณ ๓ เมตร จากปากถ้ำเป็นโพรงชอนลึกลงไปประมาณ ๒ เมตร พระมหาถวัลย์ลงไปดูภายในถ้ำ เพราะเกรงว่าจะพบกับงูเหลือมตัวผู้ ซึ่งเป็นผัวของบัวลอยในชาติก่อน
สำหรับ พระพุทธรูปในถ้ำ พรานเหี่ยวเป็นผู้เอาไปหมด มีพระพุทธรูปประมาณ ๔๐ องค์ สูงตั้งแต่ ๓-๔ นิ้ว ไปจนถึง ๑ ศอก พระแต่ละองค์มีอักษรขอมจารึกไว้ตรงฐานว่า พ่อเฒ่าศรีสงครามกับเมียสร้างไว้ ร.ศ. ๑๐๑
พระพุทธรูปเหล่านี้พรานเหี่ยวให้ผู้อื่นไปหมดแล้ว เพราะกลัวผีพ่อเฒ่าศรีสงคราม
เด็ก ชายบัวลอยถูกพิสูจน์หลายครั้งหลายหน จนเป็นที่เชื่อได้ว่าอดีตชาติของเขาเป็นงูเหลือม และได้เกิดมาเป็นคนในชาติปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกและเป็นประจักษ์พยานของการเวียนว่ายตายเกิดอย่างชัดเจน หายสงสัยและเป็นที่แน่ใจได้อย่างสิ้นเชิง การตายจึงมิใช่การสิ้นสูญ
|
|