-=-=-=-=-=-=- กลับหน้าหลักเวบบอร์ด ของ www.4x4.in.th -=-=-=-=-=-=-

   SocialTwist Tell-a-Friend



 Somnoi@3277
 Posted : 2 / 7 / 2011, 08:18:40
 สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE

มีข้อความ
__  __

เชื่อหรือไม่......โลกเดรัจฉานตอน งูเหลือมกลับชาติมาเกิด
คลิ๊กที่ภาพ

นายบัวลอย แสงวงศ์ในปัจจุบัน (ภาพจากรายการวีไอพี)


ด.ช. (นาย) บัวลอย แสงวงศ์

ปี พุทธศักราช ๒๔๙๘ “นางหนูพุก” ภรรยาของ “นายตา” ชาวตำบลหนองแซง อำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี มีอาชีพค้าขายขนมจีน ตั้งครรภ์ลูกคนที่ ๘ เมื่อครบกำหนดได้คลอดออกมาเป็นชาย มีสุขภาพสมบูรณ์ ร่างกายแข็งแรง

แต่ลูกคนนี้กลับมีลักษณะผิดแปลกประหลาด ไม่เหมือนทารกแรกเกิดทั่วๆ ไป คือ

ผิว หนังทั้งตัวเป็นลายตารางสีแดงพาดตัดกันเหมือนขนมเปียกปูน หรือ คล้ายๆ ผิวปลาช่อนที่ขอดเกล็ดออก ลายประหลาดนี้มีตั้งแต่ใบหน้ามาจนถึงสะดือ ลายส่วนนี้มีสีค่อนข้างอ่อนจาง แต่จากสะดือลงมาถึงข้อเท้าจะเป็นสีเข้ม โดยความเข้มจะไล่จากสะดือลงมา และเข้มจัดบริเวณหน้าแข้ง

พ่อแม่ได้ตั้งชื่อให้เป็นมงคลนามว่า “บัวลอย” เมื่อบัวลอยเจริญเติบโตพ้นวัยทารก ลายสีแดงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม และลักษณะซึ่งเหมือนเกล็ดปลาช่อนเริ่มเห็นชัดว่าคล้ายเกล็ดงูเหลือม เซลล์ผิวหนังบริเวณเกล็ดแห้งแข็ง คล้ายหนังงูลอกคราบ เวลาเอามือไปลูบบริเวณผิวหนังที่เป็นเกร็ด ผิวเกล็ดนั้นก็จะหลุดร่วงออกมาได้ เหมือนกับแผลที่ตกสะเก็ดทั่วไป

นอกจากบัวลอยจะมีลักษณะแปลกประหลาดบนเนื้อตัวมาตั้งแต่กำเนิด

เขายังมีกิริยาแตกต่างจากเด็กทั่วไป

นั่นคือ ! เมื่ออายุได้ ๒ ขวบกว่า เดินได้คล่องแล้ว เวลาจะขึ้นบันไดหรือลงบันได

บัวลอยจะไม่เดินขึ้นลงเหมือนคนทั่วไป

หาก จะนอนพังพาบกับพื้นแล้วไถลตัวเองลงไปทีละขั้น โดยจะเอาหัวลงไปก่อน จนกระทั่งถึงพื้นเบื้องล่าง ส่วนเวลาขึ้นบันไดก็จะไถลตัวเองขึ้นไปในลักษณะเดียวกัน

แม้เวลาจะนอนบัวลอยบัวลอยก็นอนไม่เหมือนเด็กอื่น คือ จะหาราวไม้หรือราวระเบียงเป็นที่เกี่ยวขาแล้วห้อยหัวลงมา !

ลักษณะการขึ้นบันได ลงบันได ตลอดจนท่านอนของบัวลอย ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับงูเลื้อยไม่มีผิด !

ตอน แรกๆ แม่กับพ่อก็ดุว่าห้ามปรามไม่ให้บัวลอยแสดงกิริยาเช่นนั้น เพราะคิดว่าเด็กเล่นซุกซนทำอะไรพิเรนแผลงๆ แต่ไม่ว่าจะดุจะขู่ตักเตือน และทำท่าเฆี่ยนตีอย่างไร บัวลอยก็ยังทำกิริยาท่าทางเหมือนเดิม จนพ่อแม่อ่อนใจ ! จำต้องปล่อยให้เขาแสดงกิริยาพิลึกๆ ตามที่เขาชอบใจต่อไป เพราะห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง

เมื่อ บัวลอยเติบโตขึ้น การแสดงกิริยาท่าทางเหมือนงูดังกล่าวก็ค่อยๆ หายไป ทั้งนี้อาจเนื่องจากได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่และพวกพี่ๆ เรียนรู้จดจำกิริยาท่าทางอันเป็นปกติมนุษย์ทั่วไป การเคลื่อนไหวแปลกๆ จึงได้เลือนหายไป แต่บางครั้งมีใครมาขอให้เขาแสดงท่าทางคล้ายงูให้ดู บัวลอยก็จะแสดงให้ดูทันที ! และทำได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะมีความเคยชินอยู่ก่อนแล้วจากอดีตชาติ

ความ วิตกกังวลอีกอย่างหนึ่งของนายตาและนางหนูพุกผู้เป็นพ่อแม่ ก็คือเรื่องผิวพรรณของบัวลอยซึ่งไม่เหมือนพวกพี่ๆ และเด็กทั่วไป ผิวหนังที่แตกเป็นเกล็ดคล้ายๆ งูเหลือมนั้น

ทั้งสองไม่รู้ว่าเป็นอะไร ? และเกิดจากอะไร ?

ทำให้พ่อแม่หวั่นวิตกว่าจะเป็นโรคผิวหนังร้ายแรงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

เพราะรอยแตกเป็นเกล็ดเล็กๆ นั้นไม่ยอมหายไปเสียที !

ดัง นั้น ทั้งสองจึงพาบัวลอยไปหานายแพทย์หรือคุณหมอ ซึ่งประจำอยู่ที่สถานีอนามัยเลิงนกทา สอบถามนายตากับนางหนูพุกว่า มีญาติพี่น้องคนใดที่มีผิวหนังผิดปกติลักษณะเดียวกันแบบนี้หรือไม่ ? เพราะอาจเป็นโรคติดต่อจากกรรมพันธุ์ก็ได้

ทั้งสองยืนยันว่า ญาติพี่น้องของตนทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครที่มีผิวหนังลักษณะเช่นนี้ แม้แต่คนเดียว หมอจึงให้ยาลองทาดูก่อน

บัวลอยทายาโรคผิวหนังจนหมดตลับ ก็ไม่ปรากฏผลอะไรเลย ?

ผิว หนังที่แตกเป็นลายงู เคยเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น พ่อกับแม่เห็นว่ารักษาไม่บังเกิดผลดีอะไรเลย และลูกก็ไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างไร ? จึงไม่คิดจะหาทางรักษาโรคผิวหนังอีกต่อไป

ความเปลี่ยนแปลงที่น่าสังเกตก็คือ

นานๆครั้งเกล็ดตามเนื้อตัวของบัวลอย จะลอกหลุดออกเสียทีหนึ่ง คล้ายๆกับการลอกคราบของงูไม่มีผิด นี่ก็เป็นเรื่องที่แปลก ! แต่เกิดขึ้นจริง เพื่อบอกร่องรอยอดีตภพนั่นเอง

เวลาได้ผ่านไปจนกระทั่งบัวลอยมีอายุได้ ๓ ขวบ เริ่มพูดได้

เขา ก็เจริญวัยปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่เนื้อตัวแตกระแหง เป็นลายเกล็ดงูเกือบจะทั่วทั้งตัวเท่านั้น โดยเฉพาะที่หน้าแข้งจะมีลายชัดเจนมาก ! คน ที่เพิ่งเห็นนึกว่าเป็นโรคผิวหนังมักจะรีบถอยออกห่างๆ เนื่องจากกลัวจะเป็นโรคติดต่อ แต่พ่อแม่ก็ยังเอ็นดูบัวลอยเช่นเดียวกับลูกคนอื่นๆ มิได้นึกรังเกียจแม้แต่น้อย

วัน หนึ่งที่วัดโพธาราม ได้จัดงานบุญประจำปีขึ้น นายตาไปเที่ยวที่งานนั้นพร้อมกับพาบัวลอยลูกชายไปด้วย เมื่อไปถึงบริเวณงานก็ปล่อยให้บัวลอยวิ่งเล่นที่ลานวัด ซึ่งมีคนเดินไปมาพลุกพล่าน

ขณะ ที่บัวลอยกำลังวิ่งเล่นอยู่นั้น มีชายสูงอายุคนหนึ่งเดินมา พอบัวลอยเห็นหน้าชายสูงอายุดังกล่าว ก็หยุดวิ่งเล่นทันที แล้วจ้องมองหน้าเขม็งด้วยสายตาอันโกรธแค้นทั้งๆที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แล้วบัวลอยก็วิ่งเข้าไป กระตุกชายผ้านุ่งของชายสูงอายุอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ! พร้อมกับตะโกนต่อว่าด้วยเสียงอันดังว่า

“เฒ่าเหี่ยวใจร้าย! เฒ่าเหี่ยวใจร้าย !”

ชายสูงอายุคนนั้นมีชื่อว่า “เหี่ยว” จริงๆ เสียด้วย

รู้สึกงงงันที่จู่ๆ มีเด็กตัวเล็กๆ เพิ่งเห็นกันครั้งแรกมากระตุกชายผ้านุ่งแล้วพูดว่าตนใจร้าย

พอ ดีนายตาเห็นลูกพูดจาไม่ดีกับผู้ใหญ่ ประกอบกับรู้จักคุ้นเคยกับเฒ่าเหี่ยวมาก่อน จึงรีบเข้าไปดังบัวลอยออกมพลางขอโทษขอโพยแทนลูก ตาเหี่ยวก็หัวเราะไม่ถือสา แล้วเดินจากไป

เวลา นั้นนายตาผู้เป็นพ่อยังไม่สะกิดใจอะไร ? อุ้มบัวลอยออกเดินเที่ยวงานต่อไปอีก กระทั่งเห็นสมควรแก่เวลาแล้ว จึงพาลูกกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านนั่งพักพอหายเหนื่อยแล้ว เกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่าทำไมบัวลอยจึงแสดงกิริยาวาจาก้าวร้าวกับผู้ใหญ่คือตา เหี่ยว จึงเรียกบัวลอยมาซักถามสาเหตุที่ไปต่อว่าตาเหี่ยวเช่นนั้น

บัวลอยก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้เงยหน้าขึ้นมาบอกเล่าเรื่องราวที่ทำให้นายตาถึงกับตื่นตะลึง ! และคิดไม่ถึงว่าลูกตัวน้อยๆ ของตนจะพูดออกมาเป็นเรื่องราว ถ้าไม่เป็นจริงจะพูดไม่ถูกแน่ เป็นเรื่องพิสดารอันเหลือเชื่อ !

บัวลอยเล่าอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องเป็นราว ผิดวิสัยเด็กอายุ ๓ ขวบกว่าว่า



 

ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.54.137  

  Somnoi@3277
 Posted : 2 / 7 / 2011, 08:19:39
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 1
คลิ๊กที่ภาพ

เมื่อ ชาติก่อนเขาเกิดเป็นกวางตัวเมีย พออายุได้ ๑๕ ปีก็ถูกนายพรานยิงตายที่ภูหินปูนซึ่งอยู่เลยถ้ำอ่างน้ำจากขึ้นไป (สถานที่เหล่านี้มีอยู่จริง แต่เด็กไม่เคยรู้)

หลังจากตายแล้ววิญญาณได้ล่องลอยไปหา “ผีเจ้าศรีสงคราม” เจ้าศรีสงครามสั่งให้ไปเกิดเป็นงูตัวเมีย ! ตอน ไปเกิดเป็นงูจำได้ว่าเข้าไปทางปากแม่งู เมื่อเกิดแล้วก็อยู่ในถ้ำอ่างน้ำจางพร้อมกับงูเหลือมใหญ่หลายตัว นอกจากจะมีงูเหลือมอยู่แล้ว ยังมีเสืออยู่ร่วมถ้ำเดียวกัน แต่ไม่ทำอะไรกัน? ต่างฝ่ายต่างอยู่อย่างสงบ งูเหลือมใหญ่ทั้งหมดทำหน้าที่เฝ้าทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า โดยเฉพาะพระพุทธรูปหลายองค์

ครั้น เมื่อโตเป็นงูใหญ่ เกิดรักใคร่กับงูหนุ่มตัวหนึ่งจนกระทั่งตั้งท้อง เวลาออกไปหากินก็จะแยกกันไปโดยไม่เลือกว่ากลางวันหรือกลางคืน ที่หากินตามปกติของตน คือ บริเวณเวรห้วยอ่างน้ำจางพร้อมกับงูเหลือมใหญ่หลายตัว นอกจากจะมีงูเหลือมอยู่แล้ว ยังมีเสือร่วมอยู่ถ้ำเดียวกัน แต่ไม่ทำอะไรกัน ต่างฝ่ายต่างอยู่อย่างสงบ งูเหลือมใหญ่ทั้งหมดทำหน้าที่เฝ้าสมบัติอันล้ำค่า โดยเฉพาะพระพุทธรูปหลายองค์

ครั้น เมื่อโตเป็นงูใหญ่ เกิดรักใคร่กับงูหนุ่มตัวหนึ่งจนกระทั่งตั้งท้อง เวลาออกไปหากินก็จะแยกกันไปโดยไม่เลือกว่ากลางวันหรือกลางคืน ที่หากินตามปกติของคนคือ บริเวณห้วยอ่างน้ำจาง ซึ่งเวลานั้นน้ำในห้วยมีมาก และตรงกับปลายฤดูฝน มีธารน้ำไหลหลายสายไหลซอกซอนลงมาจากยอดเขา ตนจึงไปนอนพาดขวางทางน้ำไหลเหล่านั้นในช่วงที่ค่อนข้างแคบ เพื่อหลอกสัตว์เล็กๆ พวกกระรอกกระแต สัตว์เหล่านั้นคิดว่าเป็นท่อนไม้หรือคันดินจึงไต่ข้ามเพื่อจะไปอีกฝั่งหนึ่ง ตนก็จะจับกินเป็นอาหารเสีย

เด็ก ชายบัวลอย เล่าเรื่องในอดีตชาติของตนให้พ่อฟังอย่างตะกุกตะกักตามภาษาของเด็ก อาศัยว่านายตาคอยซักคอยถาม จึงพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ค่อนข้างชัดเจน ทุกเหตุการณ์สถานที่ของพยานหลักฐาน

บัวลอยเล่าเรื่องต่อไปว่า “วัน ที่พบกับเฒ่าเหี่ยวนั้นตนออกไปหากินที่อ่างน้ำจางเช่นเดิม โดยนอนขดตัวรอคอยให้สัตว์มากินน้ำ ขณะที่นอนเงียบๆ อยู่นั้น หมาพรานสองตัวก็เข้ามาถึงตัวทันที และเห่าเสียงขรมทำท่าจะกัด ตนจึงเตรียมสู้ ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังโมโห คิดจะจับหมาพรานสองตัวนั้นมากินเสียด้วยซ้ำ”

ขณะ งูเหลือมหรือเด็กชายบัวลอย เตรียมสู้กับสุนัข ๒ ตัว คือ “อีแตน” กับ “อีแดง” สุนัขไทยที่ถูกฝึกให้มาไล่ฆ่าสัตว์ขนาดเล็กของพรานเหี่ยว พรานเหี่ยวก็เดินลุยน้ำมายังงู ในมือถือพร้ามาด้วย พรานเหี่ยวต้องการฆ่างูเหลือมเพื่อเอาไปกิน ตัวของงูเองก็เตรียมต่อสู้เต็มที่ด้วยสัญชาตญาณ

ด.ช.บัวลอยเล่าว่า “ตน กัดพรานเหี่ยวเข้าที่บ่าส่วนพรานเหี่ยวใช้พร้าฟัน ทั้งสองฝ่ายสู้กันนานตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยงก็ยังไม่มีใครแพ้ชนะ พรานเหี่ยวยอมเป็นฝ่ายเลิกราเดินกลับไปก่อน ส่วนตนก็กลับไปที่ถ้ำอ่างน้ำจางและดื่มน้ำที่ปากถ้ำ แล้วนอนพักด้วยความอ่อนเพลีย”

แต่พรานเหี่ยวไปแล้วก็กลับมาอีก ! คราว นี้พาเพื่อนมาด้วย ๒ คน คือ “นายโบ ดอกบัว กับ นายสา พิมพ์ภาพ” พอมาถึงบริเวณที่สู้กับงู แต่กลับไม่พบงู พอดีได้ยินเสียงสุนัขเห่าอยู่ที่หน้าถ้ำอ่างน้ำจาง ทั้งสามคนก็รีบตามไป จนกระทั่งพบงูเหลือมนอนขดตัวอยู่

เด็กชายบัวลอยเล่าว่า “ขณะที่เป็นงูอยู่นั้น ตนยังคิดเสียใจที่ไม่ควรมาอยู่นอกถ้ำ หากเข้าไปอยู่เสียในถ้ำก็คงจะปลอดภัย”

ทว่าตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว นายโบใช้เชือกทำบ่วงนาคพยายามจะรัดคอ ตอนแรกตนหลบทันแต่พอคล้องครั้งที่สองตนหลบไม่ทัน เลยถูกรัดคอจนแน่นรู้สึกภายในจุกเสียดมาก แล้วความรู้สึกก็ดับวูบไปในทันที !

หลัง จากที่ตายแล้ว วิญญาณ (เป็นอทิสมานกายยังอยู่ในรูปลักษณ์ของงู) ได้แยกออกจากร่าง เฝ้ามองดูพรานเหี่ยวเดินตามหลังคอยระวัง เพราะกลัวงูเหลือมตัวผู้จะตามมาแก้แค้น

ขณะ ที่ติดตามคณะล่างู ซึ่งแสดงท่าทางดีใจที่ล่างูใหญ่มาได้ ตนเอง (คือเด็กชายบัวลอยในปัจจุบันชาติ) มีความรู้สึกสงสารร่างไร้วิญญาณของตนมาก เนื่องจากเส้นทางที่ผ่านมาเป็นทางขรุขระ มีตอไม้และหนามตลอดทาง ทำให้หนังฉีกขาดหลุดลุ่ย กระทั่งมาถึงเถียงนาของพรานเหี่ยว ซึ่งในที่นั้นมีคนอยู่หลายคน

จาก นั้นพวกเขาก็ผ่าท้องงู เอาไข่ออกมาพร้อมกับเครื่องใน แล้วถลกหนังออก ก่อนจะหั่นลำตัวเป็นท่อนๆ เอาลงไปต้มในหม้อดินขนาดใหญ่เป็นบางส่วน พอเนื้อสุก ก็ตักแบ่งกินกันอย่างมัวเมาหลงใหลในรสชาด

ระหว่าง ที่กินเนื้องูต้มอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น มีชายคนหนึ่งท่าทางเรียบร้อยเดินเข้ามา และร่วมกินงูต้มกับเขาด้วย พอชายคนนี้กินแล้วได้ถือเนื้องูท่อนขนาดศอกเอากลับไปด้วย ๒ ท่อน ชายคนนี้คือ “นายตา แสงวงศ์” ผู้เป็นพ่อของเด็กชายบัวลอยนั่นเอง เด็กชายบัวลอย ขณะเป็นวิญญาณงู พอเห็นนายตาก็เกิดความรู้สึกถูกชะตาชอบขึ้นมาอย่างทันที

เมื่อ นายตาเดินกลับบ้าน ตนจึงขึ้นไปขดอยู่บนบ่าตามนายตาไปด้วย เมื่อถึงบ้านที่อยู่ของนายตา ตนก็ลงจากบ่าไปขดอยู่ใต้ต้นมะพร้าว เพราะจะตามเข้าไปในบ้านไม่ได้ เนื่องจากมีชายร่างใหญ่ท่าทางดุร้ายไม่ให้เข้าไปใกล้ตัวเรือนนายตา (น่าจะเป็นพระภูมิเจ้าที่หรือผีเรือน)

เวลา ผ่านไปไม่นานนัก ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงจากเรือน ตนก็รู้สึกเฉยๆ (น้องสาวของแม่หรือน้าของบัวลอยในชาติปัจจุบัน) กระทั่งมีหญิงอีกคนหนึ่งเดินตามมา พอเห็นผู้หญิงคนนี้ก็รู้สึกรักและชอบทันที อยากอยู่ใกล้ตลอดเวลา พอหญิงคนดังกล่าวอ้าปากจะดื่มน้ำ ตนจึงพุ่งเข้าทางปาก แล้วความคิดก็ดับวูบไป ผู้หญิงคนนี้คือ “นางหนูพุก แสงวงศ์” แม่ของเขาเอง

สำหรับ เรื่องบัวลอย เด็กชายที่เป็นงูเหลือมในชาติก่อน เริ่มต้นจากการพูดเล่าต่อๆ กันมา กระทั่งเป็นข่าวกระจายแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง “พระมหาถวัลย์ อาจารสุโภ” วัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ได้ไปสวดมนต์ฉันเช้าที่บ้านมหาสุวัฒน์ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑

บังเอิญ นั่งใกล้กับท่าน “พระครูเมธาวัตร” วัดไชยมงคล พระครูเมธาวัตรไปได้เรื่องงูเหลือมมาเกิดเป็นลูกคน และนำออกอากาศ มีคนสนใจมาก พระมหาถวัลย์ ก็เกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง ตั้งใจจะไปดูด้วยตัวของท่านเอง

วัน ที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ เวลา ๐๗.๐๐ น. กลุ่มคณะของพระมหาถวัลย์ ได้ออกเดินทางจากวัดทุ่งศรีเมือง ไปยังอำเภอเลิงนกทา ไปถึงที่ว่าการอำเภอเลิงนกทา เวลา ๑๑.๐๐ น. “คุณวรวิทย์ ชนกุล” ปลัดอำเภอได้วิทยุล่วงหน้าไปถึงกำนันผู้ใหญ่บ้านห้องแซง ให้แจ้งแก่บิดามารดาของเด็กชายบัวลอยว่า “ให้ไปรออยู่ที่วัดโพธาราม” ทางคณะของท่านจะพักฉันเพลที่วัดเขมไชยาราม เสร็จแล้วออกเดินทางไปที่บ้านห้องแซง เวลาบ่ายโมงกว่า ขณะนั้นเด็กชายบัวลอยพร้อมกับพ่อแม่ได้ไปคอยอยู่ที่วัดโพธารามแล้ว

เวลา นั้นเจ้าอาวาสไม่อยู่ มีบุคคลร่วมอยู่ในการพบปะวันนั้น นอกจากพระมหาถวัลย์และเด็กชายบัวลอย แสงวงศ์แล้ว ยังมีบุคคลอื่นๆ ดังมีรายนามต่อไปนี้ คือ

๑. พระเทพมงคลเมธี เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี

๒. เจ้าคณะตำบลสวาท บ้านคีมชาด

๓. นายวรวิทย์ ชนกุล ปลัดอำเภอ

๔. นายสวัสดิ์ น้อยอินทร์ พัฒนากรอำเภอ

๕. นายปุ่น ห้องแซง ผู้ทำหน้าที่กำนัน

๖. นายบัวแพง เมืองนิล ผู้ใหญ่บ้าน

๗. พระภิกษุและสามเณรวัดโพธาราม

๘. นายตา แสงวงศ์ พ่อของบัวลอย

๙. นางหนูพุก แสงวงศ์ แม่ของบัวลอย

๑๐. นายสมนึก สุธาธรรม อาจารย์ในวิทยาลัยครูอุบลราชธานี เป็นผู้ดำเนินการถ่ายภาพ และบันทึกหลักฐานเรื่องราวทุกอย่าง ของ ด.ช. บัวลอยโดยละเอียด

พระมหาถวัลย์ อาจารสุโภ เปรียญ ๙ ประโยค และจบปรัชญาปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยนาลันทาแห่งประเทศอินเดีย

หลัง จากได้กลับมาถึงวัดทุ่งศรีเมืองแล้วได้เขียนหนังสือชื่อเรื่อง “งูเหลือมกลับชาติมาเกิดเป็นคน” พิมพ์เผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๑

พระมหาถวัลย์เล่าถึง เรื่องการพูดคุยกับเด็กชายบัวลอยครั้งแรกในหนังสือเล่มนั้น ดังข้อความต่อไปนี้

“หนูชื่ออะไร ?” ผู้สัมภาษณ์เริ่มเรื่อง

“บัวลอยครับ” อดีตงูเหลือมกลับชาติมาเกิดตอบ พร้อมกับหายใจเสียงดังฟืดฟาด สงสัยคงจะเหนื่อยใจ

“ทำใจให้ดีๆนะ สบายๆ ตั้งใจตอบคำถามนะ” ผู้สัมภาษณ์กำชับ

บัว ลอยยิ้มแห้งๆ หลบสายตาลงต่ำ และไม่ลืมชำเลืองดูถ้วยเป็บซี่เย็นเจี๊ยบที่วางอยู่ข้างๆ แต่ถึงใครจะรบเร้าเท่าไหร่ เขาก็ไม่ยอมแตะต้อง ตอนนี้บัวลอยหายใจหอบเฮือกใหญ่อยู่ เนื่องจากเพิ่งเดินทางมาจากบ้าน ทั้งตื่นเต้นคนแปลกหน้าล้อมวงอยู่สลอน เหล่าไทยมุงพากันซุบซิบมิได้ศัพท์สำเนียงเต็มไปหมด

“อายุเท่าไร่?” ผู้สัมภาษณ์เสียงดีซักถามต่อ

“ฉิบฉามปีครับ” บัวลอยตอบด้วยสำเนียง “ส” เป็น “ฉ” อย่างฉาดฉานและรวดเร็วแบบภาษาเด็กๆ

ตาม หลักฐานทางโรงเรียนเลิงนกทา ซึ่งครูใหญ่ค้นให้ นั่นแสดงว่าบัวลอยเกิดเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ตอนที่สอบถามเรื่องราวครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคมนั้น บัวลอยกำลังสอบไล่ช่วงปลายปีพอดี

“ทำไมถึงลายอย่างนี้?” ผู้สัมภาษณ์ดึงเข้าเรื่อง

“เป็นงูครับ” บัวลอยตอบแบบซื่อๆ สงบเสงี่ยม

“งูอะไร?”

“งูเหลือมครับ”

“ขอจับเกล็ดที่หน่อยได้ไหม?”

“ได้ครับ”

“เจ็บไหม?”

“ไม่เจ็บครับ”

การทดสอบเพื่อพิสูจน์ว่า “อดีตชาติของเด็กชายบัวลอยเป็นงูเหลือมจริงหรือไม่?”

มิ ใช่ทำเพียงแค่ครั้งเดียว หากมีการสัมภาษณ์สอบถามหลายครั้งหลายหน และเด็กก็ให้คำตอบตรงกันทุกครั้ง ซึ่งถ้าหากได้รับการเสี้ยมสอนให้โกหกหรือแต่งเรื่องมดเท็จขึ้นมา คำตอบก็จะผิดเพี้ยนหลงลืมไปไม่มากก็น้อย

วัน ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑ คณะทดสอบพิสูจน์เด็กชายบัวลอย ได้เดินทางไปหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง ผู้ร่วมคณะมี พระมหามังกร ธัมมวาที, พระมหาถวัลย์ อาจารสุโภ วัดทุ่งศรีเมือง, ครูเฉลิมศักดิ์ แสงสิงแก้ว ครูโรงเรียนศรีทองวิทยา พร้อมด้วยผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดอุบลราชธานี ได้เดินทางออกจากจังหวัดอุบลราชธานีไปตามถนนสายอุบล-นครพนม มุ่งหน้าไปยังอำเภอเลิงนกทา

เมื่อ ถึงตัวอำเภอเลิงนกทาแล้ว ต้องเดินทางออกจากอำเภอไปตามถนนลูกรังอีก ๑๘ กิโลเมตร จึงได้ไปถึงหมู่บ้านพัฒนาการตัวอย่าง บ้านห้วยแซง ตำบลห้วยแซง จังหวัดอุบลราชธานี เวลา ประมาณ ๑๑.๐๐ น.

คณะ พิสูจน์ได้สอบถาม “นายตา แสงวงศ์” ผู้เป็นพ่อของเด็กชายบัวลอย ถึงเหตุการณ์ก่อนที่เด็กชายบัวลอยจะมาเกิด นายตาได้ให้ปากคำแก่พระมหาถวัลย์ และพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัด ซึ่งได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานดังนี้

“ผม ชื่อตา มีลูกทั้งชายและหญิงรวม ๙ คน บัวลอยเป็นคนที่ ๘ ลูกทั้งหมดเกิดจากผมและนางหนูพุกทั้งหมด วันเกิดเหตุนั้น ผมตั้งใจจะไปซื้อกระบือ และเมื่อเดินทางผ่านไปทางเถียงนาของตาเหี่ยว เห็นคนมุงดูงูใหญ่กันแน่นบริเวณจึงแวะเข้าไปดู ครั้นเข้าไปตาเหี่ยวได้ชวนให้กินต้มงูด้วยกันก่อน โดยได้กินทั้งเนื้อ ทั้งไข่งูด้วย กินแล้วก็นั่งคุยกันถึงเรื่องราวที่เฒ่าเหี่ยวไปฆ่างูได้ ตลอดถึงความอร่อยที่ได้กินต้มงูคราวนั้น จนกระทั่งตะวันบ่ายจึงเลิกล้มความตั้งใจที่จะไปซื้อควายกระบือแล้วเดินกลับ บ้านคนเดียว และไม่รู้สึกว่ามีใครติดตามมาด้วยได้แต่นึกดีใจ ที่ได้กินต้มงูอย่างเอร็ดอร่อยอิ่มหนำสำราญเท่านั้น นอกจากนี้ยังเอาเนื้องูติดมา ๒ ท่อน แต่ละท่อนยาวประมาณ ๑ ศอก ที่เห็นนั้นเป็นงูขนาดใหญ่มาก ตัวโต ขนาดสัก ๓ กำ ยาวประมาณ ๑๓ ศอก เห็นจะได้”

เมื่อ นายตา แสงวงศ์ ผู้เป็นพ่อของเด็กชายบัวลอยได้เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์มาเกิดของงูเหลือม และเป็นลูกของตนไปแล้ว นางหนูพุกผู้เป็นแม่ก็เป็นฝ่ายเล่าบ้างว่า

“คืน วันนั้น กินข้าวแลง (ข้าวเย็น) แล้วก็เข้านอนแต่หัวค่ำ เมื่อเลยค่อนคืนไปแล้ว จึงฝันว่ามีงูตัวใหญ่ตัวหนึ่งมาขออยู่ด้วย งูนั้นมิได้ทำร้ายอะไรแก่ข้าน้อยเลย นับแต่นั้นมาก็ฝันในทำนองเดียวกันเรื่อยมา บางคราวก็ฝันว่าได้อุ้มงูใหญ่ตัวนั้น บางครั้งฝันว่างูใหญ่มาขอดูดนม การณ์เป็นดังนี้เสมอมาจนกระทั่งครบกำหนดคลอด ครั้นคลอดออกมา เห็นลูกชายมีลายเป็นงูเต็มตัวเหมือนกับที่ปรากฏในความฝัน ก็ให้สลดสังเวชใจแท้ ๒-๓ วันแรกไม่กล้าแตะต้อง! ด้วย เกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนพร้อมกับนึกภาพงูใหญ่ที่ปรากฏในฝัน ให้หวั่นวิตกอย่างไร? ก็เป็นลูกของตน ภาพงูใหญ่ในฝันนั้นลืมไม่ลงจนทุกวันนี้”

ข้อมูลที่นางหนูพุกเล่า คล้องจองกับนายตาผู้เป็นสามีเล่า รวมทั้งตรงกันกับที่ ดช. บัวลอยเล่ามาทั้งหมด

เหลือ อยู่แต่นายพรานเหี่ยวผู้เดียว ที่ยังไม่ได้พูดเกี่ยวกับงูเหลือมมาเกิดเป็นคนในครั้งนี้ ดังนั้น คณะของพระมหาถวัลย์จึงเตรียมเดินทางไปพิสูจน์ความจริงที่บ้านพรานเหี่ยวต่อ ไป โดยมี ด.ช. บัวลอย ร่วมเดินทางไปด้วย

“พรานเหี่ยว หรือ นายเหี่ยว กุมารสิทธิ์” เป็นคนบ้านสีแก้ว อยู่ห่างจากบ้านหนองแซงบ้านเกิดของงบัวลอย ประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ เส้น การไปบ้านพรานเหี่ยวไม่ง่ายเลย เพราะออกจากตัวจังหวัดอุบลฯ ไปตามถนนสายอุบล-นครพนม ไปถึงอำเภอเลิงนกทาแล้ว แยกเข้าทางแยกไปยังบ้านสาวงามอีก ๑๓-๑๔ กิโลเมตร เส้นทางไปบ้านสาวงามนั้นทุรกันดารเป็นอย่างยิ่ง นอกจากผิวทางจะเป็นหลุมเป็นบ่อ บางช่วงยังเป็นแอ่งโคลนขวางเกือบเต็มถนน

คณะ พิสูจน์หลักฐานของพระมหาถวัลย์ ลุยรถไปถึงบ้านสาวงามแล้ว ก็ต้องเดินทางต่อไปยังบ้านส้มฝ่ออีก ๗-๘ กิโลเมตร คราวนี้เส้นทางผ่านเข้าไปกลางป่าทึบอันเงียบสงัดมาก และทางรถก็สิ้นสุด จำต้องเดินเท้าต่อเข้าไปอีกหลายกิโลเมตร กว่าจะถึงบ้านของนายพรานเหี่ยว

ระหว่าง ที่เดินเท้าไปยังบ้านพรานเหี่ยว พระมหาถวัลย์เดินเร็วมาก ได้เดินนำหน้าทิ้งคณะที่ตามหลังไกลลิบ คณะที่ตามหลังเลยหลงป่า แต่เด็กชายบัวลอยอาสานำทางไปเอง โดยบอกว่า

“ผมจำทางได้ เพราะเมื่อสมัยเป็นงูเหลือมเคยเลื้อยมาที่นี่ ไปอีกหน่อยก็จะถึงบ้านพรานเหี่ยว”

กระทั่ง เวลาประมาณ ๑๕.๓๐ น. คณะของพระมหาถวัลย์ก็ถึงเถียงนาของพรานเหี่ยว เป็นเรือนไม้หลังเล็ก ปลูกอยู่บนเนินด้านหน้าเป็นทางลาดลงไป และเป็นที่นาของนายพรานเหี่ยว ผู้ซึ่งเคยสังหารงูเหลือม

นาย เหี่ยวเล่าให้พระมหาถวัลย์ฟังว่า “ข่าวเด็กระลึกชาติ เมื่อชาติก่อนเป็นงูเหลือมแล้วมาเกิดเป็นคนตนเองก็เคยได้ยินข่าวมาเหมือนกัน แต่ไม่ได้สนใจ กระทั่งไปเที่ยวงานบุญที่วัดโพธาราม บ้านหนองแซง มีเด็กชายตัวเล็กๆมาดึงชายผ้าแล้วต่อว่า “ว่าเป็นคนใจร้าย” ตนเองก็แปลกใจ! แต่ไม่ได้ติดใจอะไร?

ต่อ มาบวชเป็นพระภิกษุ ได้ยินข่าวเด็กชายบัวลอยซึ่งบอกว่าอดีตชาติของตนนั้นเป็นงูเหลือมกล่าว เหตุการณ์พาดพิงถึงตน จึงเดินทางไปพบเด็กชายบัวลอยที่วัดโพธาราม และเอาด้ายผูกข้อมือขออโหสิกรรมต่อกันเสีย อย่าได้มีอาฆาตพยาบาทสืบต่อไปเลย เด็กชายบัวลอยก็รับคำ และไม่คิดโกรธแค้นพรานเหี่ยวอีกต่อไป”

เพื่อ พิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ประจักษ์ คณะพระมหาถวัลย์ได้ให้พรานเหี่ยวและเด็กชายบัวลอยพาไปที่ถ้ำอ่างน้ำจาง ระหว่างทางนักข่าวได้ซักถามเด็กชายบัวลอยอีกว่า

“ถ้ำที่เคยอาศัยเมื่อตอนเป็นงูเหลือมอยู่ที่ไหน?”

เด็กชายบัวลอยตอบว่า “อยู่ที่ถ้ำน้ำจาง”

ผู้สื่อข่าวซักต่อ “ใหญ่แค่ไหน? และข้างในล่ะ เป็นอย่างไร?”

“ใหญ่มาก”

“ใหญ่น่ะใหญ่แค่ไหน? ผู้สื่อข่าวซักอีก

เด็กชายบัวลอยนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า

“ใหญ่ยังกะสนาม”

“เข้าไปลึกไหม?” เด็กชายบัวลอยถูกซักต่อ

“ลึกมาก”

“ลึกสักเท่าไหร่?”

“หลายเส้น”

“ในถ้ำมีกี่ชั้น?”

“มี ๒ ชั้น”

“ข้างในถ้ำมีน้ำบ้างไหม?”

“ไม่มี! ถ้ามีก็น้อยมาก แค่บางแห่ง”

“ข้างในมีอะไรอยู่?”

“มีงู”

“อย่างอื่นล่ะ! มีอะไรอีก?”

“มีพระของพ่อเฒ่าศรีสงคราม”

“มีมากเท่าใด?”

“มีหลาย”

นอกจากนี้ บัวลอยยังถูกซักถามความเป็นอยู่ในถ้ำตอนเป็นงูเหลือมว่า “มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างในถ้ำ?”

“ตอนนั้นนอนอยู่ส่วนล่างหรือบนของถ้ำ?”

“นอนอยู่ส่วนล่าง”

“นอนกับใคร?”

“นอนกับงูตัวผัว”

“อยู่ด้วยกันสักกี่ปี?”

“สัก ๔-๕ ปี”

“กินนอนด้วยกันอย่างไร?”

“เกี้ยว (รัด) กัน”

คณะ ของพระมหาถวัลย์มาพิสูจน์ ถึงถ้ำน้ำจางพร้อมด้วยนายพรานเหี่ยวและเด็กชายบัวลอย ซึ่งปากถ้ำเป็นป่ารกชัฏ ปากถ้ำสูงประมาณเมตรครึ่ง กว้างประมาณ ๓ เมตร จากปากถ้ำเป็นโพรงชอนลึกลงไปประมาณ ๒ เมตร พระมหาถวัลย์ลงไปดูภายในถ้ำ เพราะเกรงว่าจะพบกับงูเหลือมตัวผู้ ซึ่งเป็นผัวของบัวลอยในชาติก่อน

สำหรับ พระพุทธรูปในถ้ำ พรานเหี่ยวเป็นผู้เอาไปหมด มีพระพุทธรูปประมาณ ๔๐ องค์ สูงตั้งแต่ ๓-๔ นิ้ว ไปจนถึง ๑ ศอก พระแต่ละองค์มีอักษรขอมจารึกไว้ตรงฐานว่า “พ่อเฒ่าศรีสงครามกับเมียสร้างไว้ ร.ศ. ๑๐๑”

พระพุทธรูปเหล่านี้พรานเหี่ยวให้ผู้อื่นไปหมดแล้ว เพราะกลัวผีพ่อเฒ่าศรีสงคราม

เด็ก ชายบัวลอยถูกพิสูจน์หลายครั้งหลายหน จนเป็นที่เชื่อได้ว่าอดีตชาติของเขาเป็นงูเหลือม และได้เกิดมาเป็นคนในชาติปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกและเป็นประจักษ์พยานของการเวียนว่ายตายเกิดอย่างชัดเจน หายสงสัยและเป็นที่แน่ใจได้อย่างสิ้นเชิง การตายจึงมิใช่การสิ้นสูญ



 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.54.137  
กลับขึ้นด้านบน

   กะทิสด/FG-02
 Posted : 2 / 7 / 2011, 09:06:10
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 2
...รออ่านต่อยุเด้อ......อ่ายสมน่อย...

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 101.108.59.252  
กลับขึ้นด้านบน

  Somnoi@3277
 Posted : 2 / 7 / 2011, 12:27:06
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 3
เนื้อความเบิ๊ดสำนี้หล่ะอ้านกระทิสด....ฮาหลุนมีอีหยังอีกกะสิเอาแจกอ่านเด้อครับเด้อ

เห็นรถอ้ายลุยขี้ตมในกระทู้เตรียมคิงไปงานซูจังแม่นงามคักน้ออ้าย...เผื่อแนเด้อแม่บ้านบอกให้พักผ่อนสุขภาพบ่ค่อยดี เลยอดไปเที่ยวงานซูเลย



 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 101.108.100.51  
กลับขึ้นด้านบน

   เหยี่ยวแม่วัง031
 Posted : 2 / 7 / 2011, 12:36:33
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 4



รอติดตามตอนต่อไปอยู่ครับ

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 182.53.134.112  
กลับขึ้นด้านบน

  Somnoi@3277
 Posted : 2 / 7 / 2011, 13:26:19
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 5
คลิ๊กที่ภาพ

เพิ่มเติม

นางหนูพุก แสงวงศ์

เรื่องนี้เกิดที่บ้านแซง อำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มแต่ เด็กชายบัวลอย แสงวงศ์ ตัวเรื่องเกิดประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เมื่อเริ่มรู้เรื่องราวกันในวงแคบๆ แล้ว ก็บอกเล่ากล่าวขานกันกว้างขวางออกไป มีคณะบุคคลร่วมกันไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามคำเล่าลือคณะหนึ่ง ประกอบด้วยพระคุณท่านเจ้าคุณพระมงคลเมธี เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี พระมหาถวัลย์ จารยสุโภ(วัดทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานี) ท่านปลัดอำเภอเลิงนกทา และบุคคลที่ไม่ได้กล่าวชื่ออีก ๕ คน กับภิกษุสามเณร และชาวบ้านผู้อยากรู้อยากเห็น ร่วมเดินทางไปอีกจำนวนมาก ในการพิสูจน์สอบสวนเด็กชายบัวลอยต้นเรื่องแล้วยังขอสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องอีกหลายราย พอสรุปเนื้อหาสาระได้ดั้งนี้
เด็กที่สืบชาติจากงูเหลือมมาเกิด ชื่อ เด็กชายบัวลอย แสงวงศ์ ขณะคณะบุคคลดังกล่าวไปพิสูจน์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๑ เขามีอายุ ๑๓ ปีแล้ว เขาเป็นลูกคนที่ ๘ ของ นายดา แสงวงศ์ กับ นางหนูพุก แสงวงศ์ ด.ช.บัวลอยจำอดีตชาติได้ ๒ ชาติ เขาเล่าแก่คณะพิสูจน์ว่า เขาจำได้แม่นยำในชาติก่อนหน้าที่เขาจะเกิดมาเป็นงูเหลือม เขาเคยเกิดเป็นกวางตัวเมียเคราะห์ร้ายถูกพรานป่ายิงตาย วิญญาณ(โอปปาติกะ)เขาออกจากร่างกวางไปพบเจ้าพ่อแห่งผีตนหนึ่ง ชื่อเจ้าศรีสงครามเจ้าพ่อแห่งผีให้เขาไปเกิดเป็นงู เฝ้าสมบัติ(พระพุทธรูป)ในถ้ำอ่างน้ำจาง ซึ่งอยู่ในท้องที่อำเภอเลิงนกทา ที่ถ้ำนี้มีงูเหลือมใหญ่เฝ้าสมบัติอยู่หลายตัว ชาวบ้านกลัวงูเหลือมเหล่านี้จึงไม่กล้าเข้าไปในถ้ำ ตัวเขาเอง(ตอนที่เป็นโอปปาติกะหรือวิญญาณกวาง)จึงได้ไปเกิดเป็นงูเหลือมตัวเมีย เมื่อตัวเขา(ตอนที่เป็นงูเหลือม)เติบโตเป็นงูสาวก็ได้สมสู่กับงูตัวผู้ในถ้ำ จนมีลูกในท้อง
คราวหนึ่งนางงูเหลือมท้องไปหากินที่ห้วยน้ำจาง มีหมา ๒ ตัว มาเห่ากระโชก นางงูเหลือมไม่กลัวคิดจะจับหมากินเสีย แต่ยังไม่ทันมีโอกาสได้จับกิน ก็มีเจ้าของหมา ๒ ตัวนั้น มาพบงูเหลือมแสดงท่าร้ายจึงเกิดต่อสู้กับงู งูเหลือมเมื่อได้โอกาสก็หนีไปได้ เมื่อไปถึงปากถ้ำอ่างน้ำจางอันเป็นถ้ำที่อยู่เฝ้าพระพุทธรูป ยังไม่ทันเข้าในถ้ำ นึกว่าปลอดภัยจึงนอนพักผึ่งแดดจนงีบหลับไปรู้สึกตัวอีกทีก็มีเชือกบ่วงรัดคอแน่น นางงูเหลือมเหลือบตาดูก็เห็นชายคนที่ต่อสู้กันที่ห้วยน้ำจาง กับชายอีกคนหนึ่ง ช่วยกันรัดคองูเหลือม(คือตัวเขา)แล้วใช้ท่อนไม้ร่วมกันตีหัวงูจนความรู้สึกดับวูบไปรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นโอปปาติกะงู(วิญญาณงู) เห็นชายทั่งสองร่วมกันตัดร่างงูเหลือม(คือร่างเดิมของเขา)เป็นท่อน โอปปาติกะงู ติดตามไปจนกระทั่งเขานำเนื้องูเหลือมไปแกงกินกัน
เขาจำชายคนแรกที่สู้กลับเขาทำร้ายเขาได้ติดตา และโกรธเคืองไม่หาย(พยาบาท) ในบรรดาพวกคนที่เขากินเนื้องูกันอยู่ มีอยู่คนหนึ่งมาร่วมกินด้วย โอปปาติกะงูเห็นชายนั้นมีลักษณะท่าทางไม่ค่อยดุร้าย เมื่อพวกคนเขากินกันเสร็จแล้วก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน โอปปาติกะงูตัดสินใจไปกับชายท่าทางใจดีคนนั้น โดยโดดเกาะไหล่เขาไป จนกระทั่งถึงบ้านของชายคนนั้น พอชายคนนั้นขึ้นบันไดบ้าน เขาจึงออกจากบ่าของชายคนนั้นไปอยู่บนเสารั้วใกล้ๆบันไดบ้าน
ต่อมาเขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งออกจากห้องมาดื่มน้ำ โอปปาติกะงูจึงโดดจากปลายเสารั้วไปหาหญิงนั้นเลยตกลงไปในขันน้ำ ผู้หญิงนั้นดื่มน้ำเข้าไปก็ติดโอปปาติกะลงท้องไปด้วย ต่อมาเขา(โอปปาติกะงู) ก็รู้สึกตัวว่าเขาได้เกิดมาเป็นเด็กชายบัวลอย ชายคนนั้นที่เขา(โอปปาติกะงู)เกาะบ่ามาก็คือ นายดา แสงวงศ์ พ่อของเขาเอง และผู้หญิงที่ดื่มน้ำติดเขา(โอปปาติกะงู) ลงท้องไปด้วยก็คือนางหนูพุก แสงวงศ์ แม่ในชาตินี้ของเขานั้นเอง

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 101.108.100.51  
กลับขึ้นด้านบน

  Somnoi@3277
 Posted : 2 / 7 / 2011, 13:27:32
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 6
คลิ๊กที่ภาพ

นายเหี่ยว กุมารสิทธิ์

เด็กชายบัวลอย เกิดมาจำอดีตชาติได้ และผิวหนังประหลาด มีลายเป็นเกล็ดคล้ายเกล็ดงูเหลือมในชาติก่อนของเขา จะเช็ดถูอย่างไรก็ไม่หายเป็นอันเดียวกับหนัง เด็กชายบัวลอยรู้สึกนึกคิดเหมือนอย่างมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่ความรู้สึกสะเทือนใจ เคียดแค้นเมื่อตอนที่เขาเป็นงูแล้วถูกคนฆ่าตายยังติดอยู่ในใจมาตลอดถึงชาตินี้
เมื่อเขาเป็นเด็กโตพอจำความได้ คราวหนึ่งเขาไปเที่ยวงานที่บ้านห้องแซง เขาพบชายแก่คนที่ฆ่าเขาเมื่อตอนที่เขาเป็นงูเหลือม แล้วตัดร่างเขา(งูเหลือม)ออกเป็นท่อนๆแล้วแกงกิน เขายังจำได้แม่นยำ เขาแสดงสีหน้าโกรธแค้นแต่เขายังเป็นเด็กทำอะไรชายแก่นั้นไม่ได้ เพียงแต่จับดึงผ้านุ่งของชายแก่จนหลุดเท่านั้น
ชายแก่ผู้นี้คือ นายเหี่ยว กุมารสิทธิ์ ในตอนนั้นเขารู้สึกมึนงงสงสัยว่า เด็กที่ไหนลูกเต้าเหล่าใครมาดึงผ้านุ่งของเขาจนหลุด แล้วยังมาทำหน้าดุๆใส่เขาอีก ต่อมาเขาได้ทราบจากครอบครัวของเด็กชายคนนั้นว่า เด็กชายบัวลอยคืองูเหลือมที่เขาเคยฆ่ามาแกงกินกลับชาติมาเกิด เขาจึงซื้อเสื้อผ้ามาให้และด้ายผูกข้อมือรับขวัญเด็กชายบัวลอย อธิษฐานขอขมาลาโทษ อย่าได้จองเวรจองกรรมกันเลย ต่อมานายเหี่ยว กุมารสิทธิ์ ก็กลายเป็นคนจิตใจอ่อนโยน กลัวบาปกลัวกรรมมากขึ้น และนายเหี่ยวก็เป็นคนหนึ่งที่พาคณะพิสูจน์ไปสัมภาษณ์ เด็กชายบัวลอย

นายเหี่ยว เล่าถึงความหลังให้ฟังว่า เขาเป็นคนบ้านสีแก้วห่างจากบ้านห้องแซงบ้านเกิดของ ด.ช.บัวลอย ประมาณ ๒๐ กม. คราวหนึ่ง(ประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๗ ) เขาตั้งใจไปจับเต่าที่ห้วยน้ำจาง จึงพาหมาไปด้วย ๒ ตัว เมื่อไปถึงห้วยลำห้วยน้ำจาง ได้ยินหมาเห่ากระโชกอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงข้ามลำน้ำไปดู ก็พบงูเหลือมตัวโต นายเหี่ยวเห็นก็คิดจะฆ่าเอางูไปเป็นอาหาร แต่พอจะจับงูก็สู้ เกิดการต่อสู้กัน สุดท้ายงูเหลือมตัวนั้นหนีไปได้ เมื่องูตัวนั้นเลื้อยหนีไปเขาจึงรีบกลับไปบ้าน พาเพื่อนคนหนึ่งมาช่วยตามจับงูด้วย พวกเขาตามรอยงูเหลือมไปจนไปพบมันนอนนิ่งอยู่(หลับ) ใกล้ปากถ้ำ พวกเขาจึงช่วยกันฆ่างูเหลือมตาย แล้วนำไปตัดเป็นท่อนๆ แล้วแกงกินกัน(เหตุการณ์ที่นายเหี่ยวเล่ามา ตรงกับคำบอกเล่าของเด็กชายบัวลอยชาติที่เป็นงูเหลือมถูกฆ่าทุกประการ)
และต่อมาเมื่อนายเหี่ยวทราบเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายบัวลอย ก็เชื่อมโยงเรื่องราวได้ว่า วันนั้นที่เด็กชายบัวลอยแสดงสีหน้าโกรธเคืองถึงกับกระชากผ้านุ่งเขาหลุด ในงานบ้านห้องแซง ทั้งที่เขาไม่เคยรู้จักหรือพบหน้ากันมาก่อนเลยนั้น ก็คืองูเหลือมที่เขาฆ่าตายสืบชาติมาเกิดนั่นเอง เด็กชายบัวลอยจำหน้าเขาได้ เมื่อครั้งที่เป็นงูเหลือมที่ต่อสู้กันและโดนเขาฆ่าตาย เอาเนื้อไปกินเมื่อครั้งกระโน้น



 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 101.108.100.51  
กลับขึ้นด้านบน

  Somnoi@3277
 Posted : 2 / 7 / 2011, 13:28:21
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 7
คลิ๊กที่ภาพ

รอยแผลเป็นบริเวณหลัง

ข้อมูลเพิ่มเติม :
- ปัจจุบัน นายบัวลอย แสงวงศ์ อายุ 55 ปี
- ตอนตั้งท้อง ด.ช.บัวลอย นางหนูพุกผู้เป็นแม่ฝันว่ามีงูตัวใหญ่มากกลิ้งมาหาเธอ และขอมาอยู่ด้วย
- ด.ช.บัวลอย แสงวงศ์ มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด 2 รอย ที่บริเวณหลัง และบริเวณรักแร้ ซึ่งเป็นร่องรอยบาดแผลที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ในอดีตชาติ ที่นางงูเหลือมถูกพรานเหี่ยวใช้มีดฟันจนตาย และจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 101.108.100.51  
กลับขึ้นด้านบน

  Somnoi@3277
 Posted : 2 / 7 / 2011, 13:28:53
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 8
คลิ๊กที่ภาพ

ยแผลเป็นบริเวณรักแร้

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 101.108.100.51  
กลับขึ้นด้านบน

  Somnoi@3277
 Posted : 2 / 7 / 2011, 13:29:19
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 9
คลิ๊กที่ภาพ

ร่องรอยบาดแผลบริเวณไหล่ขวาของพรานเหี่ยว

- นายเหี่ยว กุมารสิทธิ์ เมื่อได้พิสูจน์เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ ด.ช.บัวลอย แล้วรู้สึกสำนึกผิดในบาปกรรมที่ทำไว้ เขาจึงบวชอุทิศให้กับงูที่ถูกตัวเองฆ่าในครั้งนั้น เป็นเวลา 3 พรรษา

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 101.108.100.51  
กลับขึ้นด้านบน

  Somnoi@3277
 Posted : 2 / 7 / 2011, 13:29:59
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 10
จบแล้วครับข้อมูลมีเท่านี้


 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 101.108.100.51  
กลับขึ้นด้านบน

   กวางต้นน้ำ
 Posted : 2 / 7 / 2011, 18:12:41
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 11
น่ากลัวอ่ะคับพี่

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 124.122.228.41  
กลับขึ้นด้านบน

  Somnoi@3277
 Posted : 2 / 7 / 2011, 18:23:05
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 12
แล้วท่านกวางคุงมิแซบแว่...(ทราบว่า) เมื่ออดีตชาติเป็นอะไรหนอ...อิอิอิอิ ล้อเล่นครับและฝากเก็บภาพงานซูมาให้ดูเยอะหน่อยน่ะครับ


 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 101.108.100.51  
กลับขึ้นด้านบน

   กะทิสด/FG-02
 Posted : 3 / 7 / 2011, 22:18:40
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 13
....ฮ่วยๆๆๆ ...อ่ายสมน่อยบ่ไปงานซูนำกันอิหลีติ.......ว่าสิได่ตำจอกนำกันยุแมะอ่าย......

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 113.53.145.212  
กลับขึ้นด้านบน

   c_phuket
 Posted : 4 / 7 / 2011, 15:44:21
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 14
ดีครับ พี่สมน้อย อ่านไมหมด ตาลาย ช่วงนี้มึนๆ 5555 ว่างๆอ่านให้ฟังหน่อย ชิ ครับ

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 118.173.82.140  
กลับขึ้นด้านบน

   กวางต้นน้ำ
 Posted : 5 / 7 / 2011, 01:33:45
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 15
คนทรงเค้าบอกผมชาติที่แล้ว ตายแต่เด็กครับ ชาตินี้เกิดมาเลยหน้าแก่เลยคับ

โปรดใช้วิจารณญานในการรับฟัง อย่างมาก

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 110.168.46.244  
กลับขึ้นด้านบน

Page :    1

[ ปิดหน้าเพจ ]

ย้ายเวบบอร์ดไป VISION13 แล้ว




© Copyright 2000 - 2012 Allrights reserved.
Powered by www.suzuki4x4.net ™ Version 2.2.1 ®
 www.4x4.in.th