-=-=-=-=-=-=- กลับหน้าหลักเวบบอร์ด ของ www.4x4.in.th -=-=-=-=-=-=-

   SocialTwist Tell-a-Friend



 GreenFish@3277
 Posted : 13 / 8 / 2011, 13:37:37
 สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE

มีข้อความ
__  __

สงสัยของเหลว...น้องซูครับ
ตามที่ติดตามข้อมูลพวกพี่ๆ ทั้งหลายก็บอกว่าให้ใช้ 20W-50 แต่วันนี้ผมไปเปลี่ยนของเหลวมา และที่ร้านไม่มีอย่างที่ว่าเขาเลยเอา 10W-40 ให้แทนไม่ทราบว่ามันจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ แต่ผมเน้นใช้สำหรับ LPG & NGV โดยเฉพาะแถมยี่ห้อ Castrol
ราคา 1150 + 250 บาท ระยะทางกว่าจะเปลี่ยนอีกที 8000 กม.ครับ
คาสตรอล แมคนาเทค คาสตรอล แมคนาเทค 4 ลิตร คาสตรอล แมคนาเทค 10W/40 น้ำมันเทคโนโลยีสังเคราะห์ผสมผสานโมเลกุลอัจฉริยะ ?Intelligent Molecules? ซึ่งเป็นนวัตกรรมน้ำมันหล่อลื่นลิขสิท์เฉพาะของคาสตรอล ที่ให้ชั้นฟิล์มน้ำมันที่แข็งแรงพร้อมปกป้องเครื่องยนต์ทันทีที่สตาร์ท ประโยชน์ที่ได้รับ คาสตรอล แมคนาเทค 10W/40 ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพได้ยาวนานขึ้นด้วย ?โมเลกุลอัจฉริยะ? ดังนี้ ฟิล์มบาง ๆ ที่แข็งแรงช่วยเคลือบผิวของชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อช่วยป้องกันการสึกหรอทันทีที่สตาร์ท ให้การปกป้องสูงกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไปตั้งแต่สตาร์ทเครื่อง ซึ่งเป็นช่วงที่ทำให้เกิดการสึกหรอได้มากกว่า 75% ปกป้องในทุกสภาวะการขับขี่ แม้ในช่วงที่เครื่องยนต์ต้องทำงานหนัก และมีอุณหภูมิสูง เหมาะสำหรับรถยนต์ และรถอเนกประสงค์ทุกชนิดที่เป็นเครื่องยนต์เบนซิน การใช้งาน คาสตรอล แมคนาเทค 10W/40 เหมาะสำหรับรถยนต์เบนซินทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์รุ่นใหม่ที่ต้องทำงานภายใต้สภาวะการขับขี่ที่หลากหลาย มาตรฐานรับรอง SAE 10W/40 API SM/CF ACEA A3-02/B3-98 MB Sheet 229.1 VW 505.00 สำคัญคำถาม

1. 20W-50 สำหรับรถหรือเครื่องยนต์ประเภทไหน ? .
2. 10W-40 สำหรับรถหรือเครื่องยนต์ประเภทไหน ? .

 

ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.42.37   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น :   &  ปิด - เปิด การถาม/ตอบ ในกระทู้  &  แก้ไข]

   GreenFish@3277
 Posted : 13 / 8 / 2011, 13:47:56
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 1
ไปหาข้อมูลที่ Gasthai.com มา

น้ำมันเครื่องที่ใช้กับเชื้อเพลิง LPG

บทนำ

ปรกติโดยทั่วไป น้ำมันหล่อลื่นหรือน้ำมันเครื่อง ที่ใช้จะต้องมีคุณสมบัติ ด้านต่างๆ เช่น หล่อลื่น ระบายความร้อน ป้องกันสนิม และชะล้างทำความสะอาด เกี่ยวกับคุณภาพและประสิทธิภาพเกือบทุกด้านจะถูกกำหนดขึ้นจากการทดสอบคุณสมบัติฯลฯ มีหลายสถาบันทั่วโลกทดสอบและตั้งมาตรฐานหรือเกรดคุณภาพของน้ำมันเครื่อง เช่น API - AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE และ SAE - SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS ซึ่งเป็นที่นิยมใช้เป็นแหล่งอ้างอิง
นอกจากนั้น หลายผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ก็มีการทดสอบและกำหนดมาตรฐานของน้ำมันเครื่องขึ้นเองในการใช้งานสำหรับรถยนต์ทั่วโลก ผู้ผลิตน้ำมันเครื่องและผู้บริโภค นิยมเลือกใช้มาตรฐานหรือเกรดคุณภาพของสถาบัน API - AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE เพราะชัดเจนและสะดวกทั้งในการผลิตหรือเลือกใช้ โดยมีการระบุไว้ข้างกระป๋องน้ำมันเครื่องเสมอ
เราจะมาดูกันเฉพาะน้ำมันเครื่องที่ใช้กับเชื้อเพลิงเบนซิน ที่บอกเกรดคุณภาพของเกรดคุณภาพน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ตามหลังอักษรย่อ API ใช้ตัวอักษรย่อ S (STATION SERVICE-SPARK IGNITION) นำหน้าเสมอ แล้วตามด้วยตัวอักษรย่อน้ำมันเครื่อง ไล่เรียงตั้งแต่แย่สุดคือ A ขึ้นไปเรื่อยๆ B, C...H และ J เช่น API SE, API SH จนถึง API SM โดยไม่มี API SI ข้ามไปเพราะตัว I คล้ายเลข 1 (เช่นเดียวกับที่นั่งบนเครื่องบินที่ไม่มีตัว I) และ API SK มี SM สูงสุด รองลงมาเป็น SL และ SL ส่วนเกรดคุณภาพต่ำๆอย่าง SA และ SB ปัจจุบันไม่นิยมผลิต เพราะไม่เหมาะกับเครื่องยนต์เบนซินยุคใหม่


ตอบ เมื่อ : 2011-08-13 13:53:58
http://www.gasthai.com/boardgas/question.asp?id=A57


 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.42.37   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   GreenFish@3277
 Posted : 13 / 8 / 2011, 13:48:40
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 2
ชั้นเกรดคุณภาพน้ำมันเครื่อง สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน

API ได้กำหนดชั้นและเกรดคุณภาพของน้ำมันเครื่อง มีดังนี้

SA - เป็นน้ำมันหล่อลื่นขั้นพื้นฐานล้วนๆ ไม่มีการเติมสารเพิ่มคุณภาพเลย ปัจจุบันยกเลิกแล้ว

SB - ประกาศใช้ปี 1930 เพิ่มเพียงสารเพิ่มคุณภาพบางชนิด เช่น สารป้องกันการสึกหรอ สารป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ปัจจุบันยกเลิกแล้ว

SC - ประกาศใช้ปี 1964 เพิ่มสารชะล้าง ป้องกันตะกอนและสนิม

SD - ประกาศใช้ปี 1968 เพิ่มทุกด้านของประสิทธิภาพและสารเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นจาก SC ไม่ควรเลือกใช้ในปัจจุบัน

SE - ประกาศใช้ปี 1972 เพิ่มทุกด้านของประสิทธิภาพและสารเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นจาก SD ไม่ควรเลือกใช้ในปัจจุบัน

SF - ประกาศใช้ปี 1980 เพิ่มทุกด้านของประสิทธิภาพและสารเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นจาก SE และเน้นป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนมากขึ้น ไม่ควรเลือกใช้ หากไม่จำเป็น

SG - ประกาศใช้ปี 1988 เพิ่มทุกด้านของประสิทธิภาพและสารเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นจาก SF เน้นป้องกันการเกิดตะกอนตม-ยางเหนียวเพิ่มขึ้น ลดการเกิดเขม่าบนหัวลูกสูบ-ห้องเผาไหม้ และลดการสึกหรอของวาล์ว ยังพอเลือกใช้ได้ถ้าจำเป็น

SH - ประกาศใช้ปี 1992 เพิ่มทุกด้านของประสิทธิภาพและสารเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นจาก SG เน้นการลดมลพิษและลดการสึกหรอเพิ่มขึ้น สามารถเลือกใช้ได้

SJ - ประกาศใช้วันที่ 15 ตุลาคม 1996 เป็นน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่มีเกรดคุณภาพสูงสุดในปัจจุบัน เพิ่มทุกด้านของประสิทธิภาพและสารเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นจาก SH เน้นการระเหยต่ำ ค่าฟอสฟอรัสต่ำ ป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดีขึ้น มีอายุการใช้งานนานขึ้น
ต้องผ่านการทดสอบพิเศษด้วยมาตรฐานเหนือกว่า API SH อีก 7 ประการ คือ
1. จำกัดปริมาณของฟอสฟอรัส
2. ระดับการระเหยต่ำ
3. ทดสอบการเกิดเขม่าในอุณหภูมิสูง
4. ทดสอบการเกิดโฟมในอุณหภูมิสูง
5. ทดสอบการรวมตัวกับน้ำ
6. การรวมตัวได้ของสารหล่อลื่น
7. ความสามารถในการคงสภาพการหล่อลื่นเมื่ออุณหภูมิต่ำ

น้ำมันเครื่องเกรดคุณภาพ SJ มีคุณสมบัติโดดเด่น คือ
1. ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์บำบัดไอเสีย (แคตตาลิติก คอนเวอร์เตอร์) เพราะมีการควบคุมปริมาณของฟอสฟอรัสไว้ต่ำมาก
2. ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ลดการปล่อยมลพิษ
4. คงสภาพทุกช่วงอุณหภูมิได้ดี
5. การใช้น้ำมันเครื่องต่างชนิดต่างรุ่นผสมกันใช้งานด้วยความจำเป็น มีความเสี่ยงต่อการแยกตัวหรือส่งผลลบน้อย

SL - ประกาศใช้ปี 1999 เป็นน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่มีเกรดคุณภาพ เพิ่มทุกด้านของประสิทธิภาพและโมเลกุลในสารเพิ่มคุณภาพยืดหยุ่นตัวใด้ดีขึ้น เน้นการระเหยต่ำ ค่าฟอสฟอรัสต่ำ ป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดีขึ้น มีอายุการใช้งานนานขึ้น และเน้นการลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ เด่นที่สุดในการเลือกใช้

SM - ประกาศใช้ปี 2004 มีคุณสมบัติเหนือกว่า SL อยู่หลายด้าน เป็นน้ำมันเครื่องเกรดสูงสุดที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันกับเครื่องยนต์เบนซิน

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.42.37   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   GreenFish@3277
 Posted : 13 / 8 / 2011, 13:49:40
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 3
การเลือกความหนืดของน้ำมันเครื่องให้ดูจากคู่มือประจำรถยนต์ แล้วใช้ให้ตรงตามกำหนด โดยเน้นเฉพาะตัวเลขที่ไม่ได้ตามด้วยตัวอักษร W แต่ถ้าไม่มีคู่มือให้เลือกตามนี้ เมืองไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนมาก และไม่มีติดลบ สามารถเลือกใช้น้ำมันเครื่องทั้งแบบเกรดความหนืดเดี่ยวและเกรดความหนืดรวมสำหรับเมืองร้อน โดยสนใจค่าความหนืดเฉพาะค่า SAE ที่ไม่ได้ลงท้ายด้วยตัวอักษร W เป็นความหนืด 40 หรือ 50

เครื่องยนต์ใหม่ สามารถใช้น้ำมันเครื่องความหนืด SAE 30,SAE 40 ใสหน่อยได้ เพราะชิ้นส่วนยังไม่มีช่องว่างห่างมากนัก ส่วนเครื่องยนต์เก่า ควรใช้ความหนืด SAE 50 หรือ หากเลือกใช้เองเป็นความหนืด SAE 40 ให้ดูด้วยว่ามีการ"กินน้ำมันเครื่องมากผิดปกติไหม" (ไม่ควรเกิน 2,000-3,000 กิโลเมตรต่อน้ำมันเครื่อง 0.5-1 ลิตร) และมีควันสีขาวอมฟ้าจากการเผาไหม้น้ำมันเครื่องที่เล็ดลอดเข้าห้องเผาไหม้ผสมออกมากับไอเสียหรือไม่ ถ้าผิดปกติให้เปลี่ยนไปใช้ความหนืด SAE 50

สำหรับ กำหนดการเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเครื่องชั้นคุณภาพ API SJ,SLและSM เกิน 10,000 KM.ขึ้นไปครับ
เพราะผมเคยเอาน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วเหล่านี้ไปตรวจคุณภาพ ที่ห้องปฎิบัติการ บริษัท เมโทร แคท
(ประเทศไทย)จำกัด ผลปรากฎว่า ความยืดหยุ่นของโมเลกุลความหนืดยังเป็นปรกติ แต่จำนวนฝุ่นคาร์บอนที่น้ำมันเครื่องดูดซับมามีมีจำนวนมากแต่ก็จะไปค้างอยู่ที่กรอง บ่งบอกถึงการสันดาปที่ไม่
สมบูรณ์ ส่วนเศษโลหะที่เกิดจากการสึกหรอของเครื่องยนต์มีไม่มากอยู่ในเกรณ์ปรกติ ปริมาณฟองอากาศแทบไม่มีเลย แสดงว่าจากตัวอย่างน้ำมันที่นำไปทดสอบ ยังสามารถใช้งานได้ตามปรกติ ยังสามารถปกป้องการสึกหรอ ระบายความร้อน ต่อต้านการรวมกับออกซิเจนและยังใช้ได้โดยไม่ต้อง
เปลี่ยบถ่ายทิ้ง ช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศ ลดมลพิษ และรักษาสิ่งแวดล้อมครับ

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.42.37   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   GreenFish@3277
 Posted : 13 / 8 / 2011, 13:50:59
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 4
เรื่องน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมใช้กับรถ LPG

ขอแบ่งประเด็น ที่ถามมาดังนี้

ก.)ใช้น้ำมันเครื่องเกรดไหนดี?
ในปัจจุบัน โดยจากมาตฐาน API-AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE และ SAE - SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS ซึ่งเป็นที่นิยมใช้เป็นแหล่งอ้างอิง
ใช้เกรด API SJ, API SL และ API SM ส่วนค่าความหนืดใช้ SAE 40 จะเป็นเกรดเดี่ยวหรือเกรดรวมก็ได้
แต่ถ้าในกรณีเครื่องยนต์เริ่มหลวม(กินน้ำมันเครื่องมากกว่า 1 ลิตร/4,000 กม.)มีควันจากปลายท่อไอเสียสีขวาอมฟ้า แนะนำให้ใช้ SAE 50
----ตัวเลขตัวหน้าเช่น 0W40, 10W40, 20W50 ตัวเลข 0 เลข 10 เลข 20 บอกถึงอุณหภูมิแวดล้อมเครื่องยนต์ เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน อุณหภูมิไม่เคยติดลบถึง -18 องศา C จึงไม่ต้องให้ความสำคัญมากนัก ให้ดูที่ตัวเลข 40 และ 50 ตัวหลังดีกว่าครับ เพราะอุณหภมิปรกติอยู่ที่ 30C' ถึง 40C' จึงเหมาะที่จะใช้ SAE 40 หรือ SAE 50 ดังที่ได้กล่าวมาแล้วครับ

ข.)ควรเปลี่ยนถ่ายเมื่อไร?
เปลี่ยนถ่ายเมื่อน้ำมันเครื่องเริ่มสูญเสียคุณสมบัติหลัก เช่น เกิดฟองอากาศในน้ำมันเครื่องอย่างถาวร ความหนืดลดลงจากปรกติที่เคยมี เกิดสารแขวนลอยในเนื้อน้ำมัน เกิดฟอสฟอรัสจากการสันดาป ฯลฯตามที่ได้กล่าวมานี้ น้ำมันเครื่องเกรด API SJ ที่ประกาศใช้ตั้งแต่ ปี คศ.1996 มีคุณสมบัติทานทนต่อความเสื่อมเหล่านี้ ได้มากกว่า 10,000 กม. สำหรับเกรดที่สูงกว่า เช่น API SL ประกาศใช้ ปี คศ.1999 และ API SM ประกาศใช้ ปี คศ. 2004 ตามลำดับ จะเห็นได้ว่าเกรดคุณภาพ API ยิ่งเป็นปัจจุบันมากขึ้น
เกรดคุณภาพก็จะสูงขึ้น ระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันก็เพิ่มมากขึ้น

ค.)ทำไมเครื่องยนต์ที่ใช้ LPG เป็นเชื้อเพลิงจึงมีระยะเปลี่ยนถ่ายยาวนานกว่า
เนื่องจากเชื้อเพลิง LPG มีการสันดาปที่สมบูรณ์กว่า สิ่งสกปรกที่เกิดจากการเผาไหม้จึงกว่า แม้กระทั้งฝุ่นคาร์บอนที่ปนเปื่อนมาจากการชะล้างยังน้อยกว่า LPGอยู่ในสภาพก็าซจึงไม่ไปทำละลายสารเครือบหล่อลื่นที่มากับน้ำมันเครื่อง ทำให้ลดการสึกหรอ เช่น แหวน ผิวกระบอกสูบ แบริ่งต่างๆ เป็นต้น

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.42.37   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   GreenFish@3277
 Posted : 13 / 8 / 2011, 13:51:28
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 5
ขอคัดลอกบทความรู้เกี่ยวกับน้ำมันเครื่องจาก"ผู้จัดการออนไลน์"ครับ

API SM คุณภาพสูงสุดน้ำมันเครื่องสำหรับเบนซิน

ผู้จัดการออนไลน์ 7 กุมภาพันธ์ 2548 12:01 น. โดย วรพล สิงห์เขียวพงษ์


ปลายปี 2004 API สถาบันใหญ่ด้านปิโตรเลียมในสหรัฐอเมริกา ประกาศรับรองคุณภาพสูงสุดน้ำมันเครื่องเบนซินเกรดใหม่ SM แค่ช่วงไม่กี่สิบวันแรก มีบริษัทน้ำมันเครื่องขอการรับรองแล้วกว่า 400 ราย ที่สำคัญ...มีบริษัทน้ำมันเครื่องของไทยรวมอยู่ด้วย

พร้อมกับลบความเข้าใจผิดเรื่องสัญลักษณ์วงกลม DONUT และตัวอักษร API บนกระป๋องน้ำมันเครื่องที่หลายคนคิดว่าต้องส่งน้ำมันเครื่องไปและผ่านการทดสอบอย่างละเอียดโดย API ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น!

เกรดคุณภาพน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน หากอ้างอิงตาม API ซึ่งเข้าใจได้ง่าย ก็คือ นำหน้าด้วยตัว S เสมอ ตามด้วยตัวอักษรที่ยิ่งไกลจาก A เท่าไร ก็ยิ่งมีคุณภาพดี ไล่จาก SA SB SC SD SE SF SG SH SJ SL ข้าม SI SK ไปโดยไม่บอกเหตุผล ล่าสุดเพิ่งออก SM

การเลือกใช้น้ำมันเครื่อง ควรใช้ระดับใกล้สูงสุดไว้ ในปัจจุบันแนะนำ SM SL SJ ส่วนเกรดต่ำกว่านั้น ไม่น่าสนใจแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องสูงสุดเสมอไปใกล้ๆไว้เป็นพอ และถึงจะเป็นน้ำมันเครื่องธรรมดาก็ใช้ได้ถึง 10,000 กิโลเมตร ถ้าเป็นสังเคราะห์ก็ทนได้ถึง 15,000-20,000 กิโลเมตร API หรือ AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE จะมีการประกาศรับรองน้ำมันเครื่องเกรดคุณภาพสูงสุดมาตรฐานใหม่ทุกประมาณ 3-5 ปี

ล่าสุดเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2004 คือ API SM สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน โดยระบุคร่าวๆ ว่าดีขึ้นจากเกรดคุณภาพ SL คือปรับปรุงเรื่องต่อต้านการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน, ปรับปรุงเรื่องป้องกันการเกิดตะกอน, เพิ่มการปกป้องความสึกหรอ, พัฒนาให้ทำงานได้ดีตั้งแต่อุณหภูมิต่ำ และคงประสิทธิภาพที่ดีตลอดอายุการใช้งาน

เพียงช่วงแรกที่ประกาศ API SM ก็มีบริษัทน้ำมันเครื่องได้การรับรองไปแล้วกว่า 400 ราย 1 ในนั้น คือ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) น้ำมันเครื่อง PTT PERFORMA SUPER SYNTHETIC เกรดความหนืด 0W-40 และทราบมาว่าอีกหลายยี่ห้อก็กำลังดำเนินการและเตรียมออกสู่ตลาดไทยในปีนี้

บริษัทน้ำมันเครื่องส่วนใหญ่มีเทคโนโลยีใกล้เคียงกัน ดังนั้นการผลิตน้ำมันเครื่องให้มีคุณภาพตามต้องการ
หรือให้ผ่านมาตรฐานการรับรองโดยสถาบันที่ได้รับความเชื่อถืออย่าง API จึงไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถ ประเทศเล็กๆ อย่างไทยก็ทำได้ทัดเทียมต่างชาติ

สิ่งที่ยากกว่า คือ การสร้างความเชื่อถือให้ผู้บริโภค เพราะแม้น้ำมันเครื่องจะมีคุณภาพทุกด้านเกือบเหมือนกัน
มีต้นทุนการผลิตใกล้เคียงกัน แต่ยี่ห้อที่สร้างภาพพจน์ได้ดี จะสามารถตั้งราคาได้แพงกว่า ที่แปลกก็คือ น้ำมันเครื่องระดับคุณภาพเดียวกัน ยี่ห้อที่ไม่ดังและขายถูกกว่า (เพราะต้นทุนจริงไม่แพง และไม่ได้ปั่นราคา) มักถูกมองในแง่ลบว่าด้อยคุณภาพ หลายคนไม่กล้าซื้อใช้ เพราะกลัวใส่แล้วเครื่องโทรมหรือเครื่องพัง

ลบความเชื่อผิดๆ เรื่อง API และ DONUT

หลายคนคิดว่า น้ำมันเครื่องมีมีตราวงกลมคล้ายโดนัท นั่นคือ ได้ส่งน้ำมันตัวอย่างไปให้ API ทดสอบ และผลต้องผ่าน ในเนื้อน้ำมันเดียวกันกับที่ขาย ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่ และไม่ได้ส่งเนื้อน้ำมันไปทดสอบ เพราะเป็นแค่การขอการรับรอง โดยกรอกรายละเอียด และเหมือนผู้ผลิตหรือจำหน่ายน้ำมันนั้น เป็นการรับรองตัวเอง พร้อมเสียค่าธรรมเนียมให้ API โดยไม่ได้ส่งเนื้อน้ำมันให้ API ทดสอบแต่อย่างไร

ส่วนน้ำมันเครื่องที่ไม่ได้มีตราโดนัทข้างกระป๋อง แต่ระบุเกรดคุณภาพเป็นตัวย่อตาม API ถึงจะไม่ได้ขอการรับรองไป แต่ก็เทียบเกรดเองได้ ไม่ว่าน้ำมันเครื่องนั้นจะได้รับตราโดนัทหรือไม่ ก็มีแค่ความเชื่อใจต่อผู้ผลิตหรือจำหน่ายเท่านั้นว่า เนื้อน้ำมันในกระป๋องที่ขายออกมา จะมีคุณภาพตรงตามที่ระบุไว้

น้ำมันเครื่องที่ขาย = น้ำมันพื้นฐาน + สารเพิ่มคุณภาพ

หลายคุณสมบัติพิเศษสำคัญๆ ของน้ำมันเครื่อง ไม่ได้มาจากน้ำมันพื้นฐานหรือ BASE OIL (MINERAL OIL, PAO-POLYALPHAOLEFIN หรือ HYDROCRACK) และขบวนการผลิตเท่านั้น แต่ต้องมีการผสมสารเพิ่มคุณภาพหรือ ADITIVE ลงไปด้วย

ในอุตสาหกรรมน้ำมันหล่อลื่น มีผู้ผลิต BASE OIL และ ADITIVE เพียงไม่กี่ราย (รายใหญ่ของการขาย ADDITIVE ไม่ถึง 10 รายเท่านั้น) โดยเฉพาะผู้ผลิต ADDITIVE รายใหญ่ๆ ล้วนต้องทดลองผสม ทดสอบเอง และส่ง API ทดสอบมาแล้วว่าถ้านำ BASE OIL ชนิดไหน มาผสมกับ ADITIVE ตัวใด (ใช้หลายตัว) แล้วจะได้น้ำมันเครื่องเกรดคุณภาพและเกรดความหนืดใด

เนื่องจากผู้ผลิต ADDITIVE รายใหญ่ๆ ล้วนมีการทดสอบด้วยตัวเอง และส่งตัวอย่างน้ำมันเครื่องให้ API และสถาบันอื่นๆ ทดสอบอย่างละเอียดแล้ว ทั้งในห้องแล็บและการใช้งานจริง ซึ่งต้องใช้น้ำมันเครื่องจำนวนมหาศาล ใช้เวลานาน และมีค่าใช้จ่ายสูงหลายแสนหรือนับล้านบาท เมื่อทดสอบครบทุกขั้นตอนแล้วจึงกำหนดว่า น้ำมันเครื่องนั้นมีเกรดคุณภาพระดับใด

ดังนั้นเมื่อจะขายสารเพิ่มคุณภาพออกมา ก็เหมือนมีสูตรสำเร็จว่า ถ้าซื้อสารตัวใดนำไปผสมตามกำหนดกับน้ำมันพื้นฐานชนิดใด แล้วจะได้เกรดคุณภาพตาม API เป็นอะไร โดยไม่ต้องทดสอบซ้ำอีกแล้ว

มาตรฐานการแบ่งเกรดคุณภาพน้ำมันเครื่อง ไม่ได้มีแต่ของ API เพียงรายเดียว และ API เองก็มีการอ้างอิงจากแหล่งอื่นด้วย จึงเหมือนเป็นข้อตกลงของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น อุตสาหกรรมน้ำมันหล่อลื่น, บริษัทผลิตยานยนต์และเครื่องยนต์ ประกอบด้วย ฟอร์ด เจนเนอรัล มอเตอร์ส และเดมเลอร์ไครสเลอร์, สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น JAMA, และสมาคมผู้ผลิตเครื่องยนต์

ประสิทธิภาพที่ต้องการจากน้ำมันเครื่อง, ขั้นตอนการทดสอบ และข้อจำกัด เป็นการร่วมกันจัดตั้งโดยผู้ผลิตยานยนต์และเครื่องยนต์, สมาคมเทคนิค THE SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS (SAE), THE AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS (ASTM), ชมรมอุตสาหกรรม THE AMERICAN CHEMISTRY COUNCIL รวมทั้ง API

ในเมื่อผู้ผลิต BASE OIL และ ADITIVE ซึ่งมีเพียงไม่กี่ราย ได้ผสมน้ำมันเครื่องหลายร้อยสูตร ทดสอบอย่างละเอียด แบ่งเป็นคุณภาพและคุณสมบัติต่างๆ ไว้แล้ว

บริษัทน้ำมันเครื่องที่จำผสมออกขาย ก็เพียงเลือกว่าจะทำตลาดด้วยน้ำมันเครื่องชนิดใดและเกรดคุณภาพใด จากนั้นก็สั่งซื้อ BASE OIL กับ ADITIVE ตามสเปค มาผสมและจำหน่ายในยี่ห้อของตนเอง ไม่ต้องทดสอบซ้ำ ก็พอจะเชื่อได้ว่าได้มาตรฐานตามที่เลือกไว้ ซึ่งต้องเชื่อใจผู้ขาย BASE OIL กับ ADITIVE ว่าจะไม่ตุกติกด้วย

หากต้องการให้ API รับรอง (มีสัญลักษณ์ DONUT STARBURST และ API) ก็เพียงกรอกแบบฟอร์มยืนยันส่วนผสมต่างๆ ของน้ำมันเครื่องนั้นส่งให้ API ไม่ต้องส่งตัวอย่างน้ำมันเครื่องให้ เพราะเหมือนทดสอบซ้ำ สิ้นเปลืองทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย รวมทั้ง API ก็ไม่มีเวลาทดสอบได้ครบทุกยี่ห้อ

แบบฟอร์มขอการรับรองจาก API เปรียบเสมือนสัญญารับรองตนเองของผู้ผลิตหรือจำหน่ายน้ำมันเครื่อง ว่าน้ำมันเครื่องมีคุณสมบัติตรงตามที่ให้ข้อมูลไว้จริง โดย API จะมีการสุ่มตรวจเป็นบางรายในภายหลัง ซึ่งก็แทบไม่พบว่ามีการสุ่มตรวจ เพราะมีกว่าร้อยประเทศและมีน้ำมันเครื่องหลายพันรุ่นในโลกที่ขอการรับรอง เทคโนโลยีของน้ำมันเครื่อง มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีเกรดคุณภาพใหม่ๆ กำหนดขึ้นทุก 3-5 ปี เราไล่ตามหาความรู้ได้ไม่ยาก...ถ้าสนใจ ! และไม่จำเป็นต้องรู้ลึก

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.42.37   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   GreenFish@3277
 Posted : 13 / 8 / 2011, 13:53:13
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 6
เกี่ยวกับระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
API SJ เปลี่ยนถ่ายที่ 10,000 กม.
API SL เปลี่ยนถ่ายที่ 15,000 กม.
API SM เปลี่ยนถ่ายที่ 20,000 กม.

เหตุผลดังที่เรียนให้ทราบมาแล้ว
ล่าสุด ผมเอาน้ำมันเครื่องเกรด API-SL 0W40 ชนิด PAO ผ่านการใช้งาน 20,126 KM.ไปเข้าทดสอบที่ Lab.ได้ผลมาคือ สภาพความหนืดยังเป็นปรกติ ปฏิกิริยา Oxydation ไม่มี สารฟอสฟอรัส ต่ำมาก(0.018 PPM) คาร์บอนต่ำมาก(คงเพราะใช้ LPG เป็นประจำ) ผมไม่อยากจะแย้งถ้าเขาต้องการ เปลี่ยนถ่ายที่ 5,000 กม. ผมคิดว่าสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แน่นอนครับมันไม่ใช่เงินของผม แต่ผมต้องให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และผมไม่มีผลประโยช์นแอบแผง บริษ้ทผู้ค้าเท่านั้นที่อยากจะให้เปลี่ยนถ่ายบ่อยขึ้นเพราะเขาสามารถขายได้เพิ่มมากขึ้น

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.42.37   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

  สรายุทธ์
 Posted : 13 / 8 / 2011, 14:13:27
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 7
ผมใช้ของ TOP 1 FULLY แกลลอลสีทอง เปลี่ยนถ่ายที่ 20,000 กม. ใช้แล้วมีความรู้สึก
ว่าของเขาดีจริงเครื่องเงียบปลายไม่ตื่อ แต่ค่าตัว 1,500 บาทแต่ถือว่าคุ้มครับ

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.24.32.60   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   กวางต้นน้ำ
 Posted : 13 / 8 / 2011, 16:00:29
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 8
ขอบคุณครับ

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 124.121.46.59   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

  Somnoi@3277
 Posted : 13 / 8 / 2011, 18:47:27
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 9
ขอดูหน้าตาตัวอย่างสักหน่อยได้บ่ครับคุณสรายุทธ์

สนใจครับ

จำไมล็อกอินบ่ดั๋ยครับ



 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.42.37   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   bovy66
 Posted : 14 / 8 / 2011, 12:13:10
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 10
ผมก็ใช้10-W40ของSHEELlดีหรือเปล่าไม่รู้ครับสำหรับLPGและNGVครับ


 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 124.121.223.125   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

Page :    1

[ ปิดหน้าเพจ ]

ย้ายเวบบอร์ดไป VISION13 แล้ว




© Copyright 2000 - 2012 Allrights reserved.
Powered by www.suzuki4x4.net ™ Version 2.2.1 ®
 www.4x4.in.th